เปิดข้อหาคดีทุจริตหุ้นSTARKหลังอัยการฟ้อง7ผู้ต้องหาต่อศาลอาญา

ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้มีคำสั่งฟ้องคดีทุจริตหุ้น STARK คดีทุจริตในบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 11 คน (ในจำนวนผู้ต้องหามี5 รายเป็นนิติบุคคล ) เป็นจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชนฯข้อหายักยอกทรัพย์และข้อหาฟอกเงิน มูลค่าของความเสียหายหลายหมื่นล้านบาทประกอบด้วย 

1.นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ 
2.บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยนายอรรถพล วัชระไพโรจน์ และนายปริญญา จั่นสัญจัย กรรมการผู้มีอำนาจ
3.บริษัท เฟิลปส์ คอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด โดยนายอรรถพล วัชระไพโรจน์ กรรมการผู้มีอำนาจ
4.บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด โดยนายอภิชาติ ตั้งเอกจิต กรรมการผู้มีอำนาจ
5.บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยนายอรรถพล วัชระไพโรจน์ กรรมการผู้มีอำนาจ 
6.บริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด โดยนายกิจจา คล้ายวิมติ 
และ7.นายอภิชาติ ตั้งเอกจิต น.ส.นาตยา ปราบเพชร 

อย่างไรก็ตามยังมีผู้ต้องหาที่พนักงานอัยการยังไม่มีคำสั่งในวันนี้คือ นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ,นางสาวยสบวร อำมฤตเพราะยังต้องสอบสวนเพิ่มเติมแต่ก็เดินทางมาพบพนักงานอัยการตามนัด

สำหรับข้อกล่าวหาที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ1 สั่งฟ้องในฐานความผิดร่วมกันแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์หรือร่างหนังสือชี้ชวนที่ยื่นตามมาตรา 65แห่ง พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯในสาระสำคัญ, มีหน้าที่เปิดเผยเอกสารต่อผู้ถือหุ้นหรือประชาชนทั่วไปตามที่บัญญัติในหมวด 3/1การบริหารกิจการของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ แห่ง พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ

ร่วมกันแสดง ข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งในสาระสำคัญ, เป็นนิติบุคคลกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคล นั้น ต้องรับโทษ ตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดตามมาตรา 281/1แห่ง พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ, เป็นกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทกระทำโดยทุจริต ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริตแห่ง พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหายหรือทำให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการผ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว, ในการดำเนินกิจการของบริษัท กรรมการและผู้บริหารต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต รามทั้งต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ ข้อบังคับของบริษัทและมติคณะกรรมการ ตลอดจนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการบริษัทย่อยและผู้บริหารบริษัทย่อยฯ, เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดตาม พรบ.นี้ โดยทุจริต 

ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนและโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สามหรือทำให้ประชาชนผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ, เป็นกรรมการผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใด ตาม พรบ.นี้ซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของนิติบุคคลดังกล่าวหรือทรัพย์สินที่นิติบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความ เสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของนิติบุคคลนั้น

เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของนิติบุคคลดังกล่าว หรือซึ่งนิติบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ร่วมกันเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต, เป็นกรรมการผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคลใดตาม พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯกระทำการหรือไม่กระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่นิติบุคคลนั้น,เป็นกรรมการผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดกระทำหรือยินยอมให้กระทำการ 

1.ทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือปลอมบัญชีเอกสาร หรือหลักประกันของนิติบุคคลดังกล่าว 
2.ลงข้อความเท็จหรือไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของนิติบุคคลหรือที่เกี่ยวกับนิติบุคคลนั้น 
3.ทำบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจบันหรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง ถ้ากระทำหรือยินยอมให้กระทำเพื่อลวงให้นิติบุคคลดังกล่าวหรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ หรือลวงบุคคลใดๆ กระทำการด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่กรรมการ ผู้จัดการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใด กระทำความผิดตามมาตรา278,306ถึงมาตรา 312แห่ง พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ว่าก่อนหรือขณะกระทำความผิด

ร่วมกันโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม, ร่วมกันยักยอก, เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นหรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยกระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นนั้น, สมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน, เป็นผู้สนับสนุนโดยกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด อันเป็นความผิดตาม พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ,พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,86,91,343,352,353 

ขอศาลได้พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และขอศาลได้สั่งให้จำเลยทั้ง 7 ร่วมกันคืนเงินที่ฉ้อโกงไปจำนวนกว่า14,778 ล้านบาทที่ยังไม่ใด้คืนให้แก่ผู้ถือหุ้น 4,692ราย และผู้ลงทุนสถาบันจำนวน 12 ราย ผู้เสียหาย, ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกันคืนเงินที่ยักยอกไปจำนวน 741,172,250 บาท ที่ยังไม่ได้คืนให้แก่บริษัท สตาร์คฯ 

ปรับจำเลยที่1,2 เป็นเงินสองเท่าของราคาขายของหลักทวัพย์ทั้งหมดที่จำเลยที่ 1,2ได้เสนอขายโดยไม่น้อยกว่าห้าแสนบาท ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงินสองเท่าของค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหรือประโยชน์ที่ได้รับโดยไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท

ภายหลังศาลประทับรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.90/2567  

นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายกลุ่มรวมพลังหุ้นกู้สตาร์ค กล่าวว่าวันนี้ทางอัยการได้สั่งฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยในคดีอาญาทั้งหมด7 ราย นายศรัทธา ผู้บริหารฝ่ายการเงิน กับพวกแต่มีตัวละครเพิ่มขึ้นมาคือน.ส.นาตยา สิ่งที่น่าสนใจคือ ชื่อของผู้ต้องหารายหนึ่งซึ่งเป็นมือกฎหมายของบริษัทสตาร์ค คือนายชินวัฒน์ อัศวโภคีชื่อนี้หายไปต้องฝากสื่อช่วยตามว่าเหตุใดชื่อมือฎหมายสำคัญของทีมสตาร์คถึงหาย แต่มีชื่อ น.ส.นาตยาโผล่เข้ามา 

ส่วนของคนที่ยังไม่ได้สั่งฟ้องวันนี้มี 4 ราย รายแรก นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ เเละ น.ส.ยสบวร อำมฤตซึ่ง2คนนี้ก็มีบทบาทสำคัญในคดี แต่อัยการบอกว่ายังไม่ฟ้องเพราะยังต้องสอบสวนเพิ่ม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ฟ้องและทางอัยการส่งสัญญาณว่าน่าจะฟ้องด้วยแต่ขอสอบสวนพยานโดยสั่งให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอสอบเพิ่ม ส่วนอีก2รายที่ไม่ฟ้องในวันนี้คือนายชนินทร์ เย็นสุดใจซึ่งหลบหนีไปแล้ว ก็หวังว่าสื่อมวลชนช่วยติดตามว่าทางอัยการ กระทรวงการต่างประเทศและตำรวจไทยได้ประสานไปยังป่ะเทศต่างๆเเล้วหรือไม่เพราะประชาชนร้อนใจอยากจะรู้ว่าจับกุมตัวได้หรือไม่ 
เเละอีก1 คนคือ นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงามที่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด โดยอ้างว่าป่วย ซึ่งนายกิตติศักดิ์ เป็นคนทั่รู้เรื่องยอดขาย ยอดโอนไปจ่ายคนไหนถือเป็นบุคคลสำคัญ เเต่วันนี้อัยการท่านคงยังไม่ถึงขั้นขอให้ศาลออกหมายจับแต่ก็คงให้พนักงานสอบสวนติดตามมา หากติดต่อไม่ได้หรือหายตัวทางเจ้าหน้าที่ก็อาจจะดำเนินการในการตามจับกุมเช่นกัน

อย่างน้อยที่สุดวันนี้ต้องขอบคุณทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษที่พยามทำสำนวน ซึ่งใครก็ตามที่ยังไม่ฟ้องขอให้ทำสำนวนและรีบฟ้องหากพยานหลักฐานพร้อมแล้วตนเข้าใจว่าทางอัยการและพนักงานสอบสวนก็เล็งเห็นว่ายังมีบุคคลอื่นๆที่ยังไม่ปรากฏชื่อ เช่นที่ปรึกษาด้านการบัญชี สำนักงานบัญชี ผู้เซ็นงบการเงิน คนเหล่านี้ควรจะต้องได้รับการตรวจสอบโดยศาล ด้วยก็หวังว่าจะมีการยื่นแจ้งข้อกล่าวหาและยื่นฟ้องบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป 

จากนี้ไปเราก็จะเดินหน้าเข้าไปเอาพยานหลักฐานในคดีอาญาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในคดีแพ่งโดยเราจะฟ้องเร็วที่สุดเมื่อพยานหลักฐานครบซึ่งผู้เสียหายสามารถมาร่วมกับเราได้เสมอสามารถเซิร์ช Google หาคำว่ากลุ่มรวมพลังหุ้นกู้สตาร์ค LINE แอดไทยสตาร์ค

“วันนี้ทางผู้เสียหายที่ไปสังเกตการณ์ว่าได้เจอคุณวนรัชต์ และคุณยสบวร มาด้วยตัวเองทั้ง 2ท่าน อัยการยังไม่ฟ้องเพราะต้องการสั่งให้มีการสอบสวนของประเด็นทั้ง2 ท่านเพิ่ม ก็หมายความว่าอัยการให้ความสำคัญนะอัยการไม่ได้ปล่อยปละละเลยเพียงแต่ว่า ผมถามอัยการว่าจะอีกนานไหมกว่าท่านจะสรุปได้ท่านตอบว่าอีกไม่นานหรอกเพราะว่าให้ทางดีเอสไอไปทำหน้าที่ตรงนี้แล้วก็ฝากสื่อมวลชนช่วยติดตามเพราะประชาชนร้อนใจมาก เอ วนรัชน์ ทำกำไรจากการขายหุ้นสตาร์คมหาศาล คุณยศบวรตามที่เราสืบมามีบทบาทไม่ใช่แค่เป็นที่เลขาผู้ช่วยคุณชนินทร์ธรรมดาแต่เป็นผู้ที่มีบทบาทในการกระทำการแทนคุณชนินทร์ได้ด้วย เพราะฉะนั้นหากคุณยสบวรให้การเป็นประโยชน์ก็อาจจะทำให้ก็อาจจะทำให้คดีขึ้นมาได้หากคุณยสบวรไม่ให้ข้อมูลแก่พนักงาน คดีก็อาจจะมีปัญหาเพราะฉะนั้นก็อาจจะให้ทางเจ้าพนักงานได้ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวน ให้อย่างครบถ้วนครับ ในชั้นดีเอสไอมีชื่ออยู่ตามกระแสข่าวรายงานออกมาและเราทราบดีว่าคุณชินวัตรเป็นทั้งกรรมการเป็นทั้งมือกฎหมายเป็นทั้งคนสนิทของคุณเอ วนรัชต์ เป็นทั้งคนสนิทของคุณชนินทร์ คำถามก็คือชื่อเขาหายไปไหนภาคประชาชนคงตั้งคำถามฝากถามสื่อไปตั้งคำถามมันบังเอิญเกินไปมั้ย ที่ชื่อหนึ่งหายเเต่อีกชื่อหนึ่งโผล่ขึ้นมาให้จำนวนมันเท่าเดิม” 

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรณีที่มีไม่ปรากฎชื่อนายชินวัตร จากการตรวจสอบพบว่าวันนี้ทางพนักงานอัยการคดีพิเศษมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องตามความเห็นของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เนื่องจากพยานหลักฐานไม่ถึง

โดยสำนวนพร้อมรายชื่อผู้ต้องหาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งมายังพนักงานอัยการมีผู้ต้องหาทั้งหมด 12 คนประกอบด้วย 1. นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ซึ่งได้หลบหนีและศาลมีหมายจับ 2.นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ  3.นายชินวัฒน์ อัศวโภคี 4.นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ 5.นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม 6.
บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น 7.บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด 8.
บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด 9.บริษัท ไทยเคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 10.บริษัท เอเชียแปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด 11.นางสาวยสบวร อำมฤต เเละ 12.น.ส.นาตยา ปราบเพชร

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.