เผยเงินบาทวันนี้34.80-35.05เปิดเช้าแข็งขึ้นเล็กน้อยแตะ34.92บาท/ดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยแนวโน้มค่าเงินบาทวันนี้อยู่ที่ 34.80-35.05 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.92 บาทต่อดอลลาร์ โดยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.96 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideway (แกว่งตัวในช่วง 34.86-35.01 บาทต่อดอลลาร์) ท่ามกลางการเคลื่อนไหวในกรอบของทั้งเงินดอลลาร์ บอนด์ยีลด์ 10 สหรัฐฯ และราคาทองคำ ซึ่งเป็นไปได้ว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในช่วงคืนของวันพฤหัสฯ นี้ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนต่อไป
อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่า เงินบาทยังคงมีโซนแนวต้านสำคัญแถว 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์และสกุลเงินหลัก เช่น ค่าเงินเยน หลังเงินเยนกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็ว เมื่อเทียบกับเงินบาท อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจยังไม่สามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจนได้ ท่ามกลางปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่า ทั้งการปรับเปลี่ยนมุมมองแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด รวมถึงปัจจัยล่าสุดอย่างความกังวลแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยจากแรงกดดันทางการเมือง
สำหรับวันนี้ แม้ว่าจะไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญมากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด John Williams (Voter) ในช่วงเวลา 03.15 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาในประเทศไทย เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็จะรอลุ้นผลการประมูลบอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงเวลา 01.00 น. ซึ่งผลการประมูลดังกล่าวก็อาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี ในระยะสั้น ก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ได้
แนวโน้มของค่าเงินบาท Krungthai GLOBAL MARKETS ประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังคงมีอยู่ ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจจำกัดอยู่ในโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์และสกุลเงินหลักอื่น ๆ ของผู้เล่นในตลาด อีกทั้งผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ ต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในช่วงคืนวันพฤหัสฯ ทำให้เงินบาทก็อาจยังไม่มีทิศทางการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน
อย่างไรก็ดี ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่มีทิศทางผันผวนและเริ่มเห็นแรงขายเพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในฝั่งหุ้น ก็อาจเป็นปัจจัยที่คอยกดดันเงินบาทให้ผันผวนอ่อนค่า หรืออย่างน้อยก็กลับมาแข็งค่าได้ยากในช่วงนี้ ซึ่งเราคงประเมินว่า เงินบาทก็อาจยังมีแนวรับแถว 34.75-34.80 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะมีการรับรู้ปัจจัยใหม่ ๆ เพิ่มเติม
ทั้งนี้บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม จนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในวันพฤหัสฯ นี้ นอกจากนี้ บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็อาจถูกกดดันบ้างจากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงนี้ อาทิ Raphael Bostic (Voter) ที่ยังออกมาสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่าเฟดจะสามารถคุมเงินเฟ้อได้สำเร็จ ทำให้โดยรวมดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างก็เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideway โดยดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.15%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลง -0.19% กดดันโดยการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ อาทิ LVMH -1.5%, Rio Tinto -2.0% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง กลุ่ม Healthcare อาทิ Roche +0.7%
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวในกรอบ sideway ใกล้ระดับ 4.00% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในวันพฤหัสฯ นี้ ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนสถานะถือครองบอนด์ที่ชัดเจน ซึ่งจะสอดคล้องกับการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ทั้งนี้ ยังคงแนะนำว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนสูงขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นออกมาดีกว่าคาดในช่วงนี้ ซึ่งผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip และไม่ไล่ราคา โดยพยายามคำนึงถึง จุดคุ้มทุน หรือ Break-even เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนรวม หรือ Total Return ที่จะได้จากการถือครองบอนด์ โดยในส่วนของบอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเริ่มเห็นการขาดทุนได้ (Total Return ติดลบ) หากบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้นเกิน +50bps จากระดับปัจจุบัน หรือ เกินระดับ 4.50%
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ ๆ โดยเฉพาะรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 102.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.3-102.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ปรับตัวขึ้นทะลุโซน 2,040-2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปได้ ก่อนที่จะย่อตัวลงใกล้ระดับ 2,035 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอจังหวะการย่อตัวของราคาทองคำในการเข้าซื้อ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าได้บ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา
ดังนั้นจึงประเมินว่า หากราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ ทดสอบโซนแนวต้าน 2,060-2,070 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำในโซนดังกล่าว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็จะสามารถช่วยให้เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.