เศรษฐา ไม่เห็นด้วยขยับค่าแรงขั้นต่ำน้อย สั่งให้ทบทวนใหม่
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังคณะกรรมการค่าจ้าง มีมติปรับขึ้นค่าแรง ตั้งแต่ 2-16 บาททั่วประเทศ โดยยอมรับว่า ไม่สบายใจอย่างมาก เนื่องจากค่าแรงขั้นต่ำของไทยขึ้นมาน้อยมาก แต่ค่าครองชีพสูง รัฐบาพยายาลทำหลายวิธีเพื่อลดค่าใช้จ่าย และลดรายจ่าย ทั้งค่าไฟ และค่าน้ำมัน รวมถึงการพักหนี้เกษตรกร การแก้หนี้นอกระบบ-ในระบบ เพื่อบรรเทาความทุกข์ของประชาชน แต่การเพิ่มรายได้ ก็เป็นเรื่องสำคัญ และประชาชนหลายสิบล้านคน ก็ยังต้องพึ่งค่าแรงขั้นต่ำจำนวนมาก แต่บางจังหวัดกลับมีการปรับเพิ่มเพียง 2-7 บาท ซึ่งน้อยเกินไป สวนทางกับความพยายามของรัฐบาล ที่พยายามยกระดับอุตสาหกรรมไทยที่มีเทคโนโลยีสูง เพื่อประโยชน์ผู้ประกอบการ ทำให้ประชาชนมีรายได้สูง และตนก็ได้พยายามเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อเชิญชวนนักลงทุน ซึ่งรัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่
นายกรัฐมนตรี ยังวิงวอน ไปยังนายจ้างว่า แรงงานไทยเป็นผู้ถูกผลกระทบมากที่สุด ที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่รัฐบาลพยายามดำเนินการทุกอย่างแล้ว จึงขอให้สนับสนุนการขึ้นรายได้ให้นายจ้าง ไม่ใช่กดค่าจ้างแรงงาน ทั้งที่นายจ้างเอง ก็ได้ประโยชน์จากมาตรการลดค่าไฟของรัฐบาล จึงถึงเวลามาทบทวนไม่ให้ชีวิตแรงงานไทยต่ำติดดิน และคืนให้กับกำลังสำคัญในภาคการผลิต เพราะค่าแรงประเทศข้างเคียงประเทศไทย อย่างเกาหลีใต้ หรือสิงคโปร์ ค่าแรงขั้นต่ำต่อวันกว่า 1,000 บาท ดังนั้น นายจ้างจึงจะยอมให้แรงงานไทยเป็นพลเมืองชั้น 2 หรือ ชั้น 3 ของโลกหรือ จึงย้ำว่า มติของคณะกรรมการค่าจ้างนั้น จะต้องมีกรทบทวนใหม่ และจะต้องมีการพูดคุยกัน
นายกรัฐมนตรี ยังตั้งข้อสงสัยต่อการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 2 บาท/วัน พร้อมระบุว่า เดือนที่แล้วตนเองได้มีโอกาสไปพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย ถึงเรื่องนิคมอุตสาหกรรม และการยกระดับการท่องเที่ยว การเปิดด่านการค้าการลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุน จึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดจึงมีการปรับขึ้นเพียง 2-3 บาท ไข่เพียง 1 ลูกก็ยังไม่สามารถซื้อได้ จึงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก และจะต้องมีการพูดคุยกับคณะกรรมการ 3 ฝ่าย หรือไตรภาคีอีกครั้ง ภายหลังช่วงหยุดยาวนี้ เพราะนโยบายค่าแรง ถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลชุดนี้
ส่วนควรจะปรับขึ้นไปที่เท่าไรจึงจะเหมาะสมนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะต้องขึ้นไปสูงกว่านี้ โดยจะรอฟังเหตุ และผลของคณะกรรมการค่าจ้าง และคณะกรรมการ 3 ฝ่ายด้วย แต่เห็นว่า จังหวัดใหญ่ ๆ ค่าแรงควรจะถึง 400 บาท จังหวัดเล็ก ๆ อาจจะต้องพิจารณาตามความเหมาะสม
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่จะมีผู้ประกอบการส่วนหนึ่งให้เหตุผลเรื่องเศรษฐกิจของประเทศที่ซบเซาว่า รัฐบาลก็พยายามช่วยเหลืออยู่ ทั้งการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ การลดค่าไฟ ที่ทุกคนได้ประโยชน์ จาก 4.50 บาทลงมาเป็น 3.99 - 4.20 บาท ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักอยู่แล้ว
สำหรับข้อกังวล ถึงการขึ้นค่าแรงจะทำให้ผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ย้ายฐานการผลิตหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่มี และเห็นเป็นเพียงวาทะกรรม เพราะจะไม่มีใครย้ายเพราะค่าเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ จาก 300 บาท เป็น 400 บาท เพราะรัฐบาล มีมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษี มีระบบสาธารณสุข และการศึกษาที่ดี รวมถึงยังมีระบบโครงสร้างพื้นฐาน และระบบการคมนาคมที่ดีพร้อมสำหรับการลงทุน รวมถึงยังมีการลง MOU ร่วมกันในหลายประเทศ ซึ่งหากไม่มีการช่วยกัน ก็จะดำเนินการต่อลำบาก
นายกรัฐมนตรี ยังฝากถึงแรงงานติดตามการดำเนินการของรัฐบาลว่า มีความจริงใจต่อเรื่องดังกล่าวมากเพียงใด เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดอยู่แล้ว โดยไม่ได้นำภาระไปให้ผู้ประกอบการ หรือนายจ้างเพียงอย่างเดียว เพราะมีการลดรายจ่ายช่วย และดึงดูดเม็ดเงินหลายวิธีการ จึงขอให้เห็นใจผู้ใช้แรงงาน และยืนยันว่า ไม่ใช่การหาเสียง เพราะการเลือกตั้งได้จบลงไปแล้ว
ส่วนหากกระทรวงแรงงานจะเสนอการปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ 12 ธันวาคมนี้เลยหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ยังไม่ทราบ แต่หากมีการเสนอเข้ามาให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ตนก็จะเป็น 1 เสียงที่ไม่เห็นชอบ
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.