Thai ESG ดีเดย์ขายวันนี้วันแรก 22 กองทุน 16 บลจ. ดึงเม็ดเงินเข้าเป้า 1 หมื่นลบ.
กระทรวงการคลัง สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ร่วมเปิดตัว “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน” (Thailand ESG Fund : Thai ESG) เปิดเสนอขายพร้อมกันวันนี้ (8 ธ.ค.) วันแรก จำนวน 22 กองทุน จาก 16 บริษัทจัดการลงทุน (บลจ.)
หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติหลักการมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยในช่วง 10 ปีภาษี (ปี 2566-2575) ไปเมื่อวันที่ 21 พ.ย.2566 โดยสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน ซึ่งผู้ที่มีเงินได้จะได้สิทธิหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนใน Thai ESG ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับปีภาษีและจะต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 8 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน
โดยกองทุน Thai ESG จะมีนโยบายเน้นลงทุนในประเทศในสินทรัพย์ อาทิ หุ้นหรือตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือเพื่อความยั่งยืน
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงนโยบายของกระทรวงการคลังว่า ในฐานะภาครัฐที่เป็นเสาหลักทางการคลังและเศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้น การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยและยุทธศาสตร์ชาติต่อเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) รวมถึงการสร้างความเพียงพอของรายได้และเงินออมเพื่อใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพภายหลังการเกษียณอายุในขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ ถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนของประเทศ
ดังนั้นกรมสรรพากรจึงพร้อมสนับสนุนมาตรการทางภาษีเพื่อให้เกิดแรงจูงใจในภาคประชาชนต่อการลงทุนเพื่อเป้าหมายความยั่งยืน การระดมทุนที่เกิดขึ้นเชื่อว่าจะเป็นกลไกผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเร่งปรับตัวและให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก พร้อมๆ กับการที่ประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals หรือ SDGs) ของสหประชาชาติ รวมทั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การจัดตั้งกองทุน Thai ESG ที่ภาครัฐได้ให้การสนับสนุนในครั้งนี้ เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินด้านความยั่งยืนเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับกองทุนรวมด้านความยั่งยืน สนับสนุนให้ผู้ลงทุนมีโอกาสเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่ส่งเสริมความยั่งยืนของประเทศไทย โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และส่งเสริมให้เกิดการออมระยะยาวผ่านกองทุนรวม เพื่อสุขภาพทางการเงินที่แข็งแรง ควบคู่ไปกับการส่งเสริมเป้าหมายด้านความยั่งยืนของประเทศ
ทั้งนี้ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ในการยกระดับศักยภาพตลาดทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable capital market) โดยสนับสนุน
ให้ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้ภาคธุรกิจ ทั้งบริษัทจดทะเบียนและผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุน ผนวกปัจจัยด้าน ESG เข้าไปในการดำเนินธุรกิจและกระบวนการทำงานอย่างจริงจัง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย
อีกทั้งยังตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้ลงทุนที่ให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในครั้งนี้ ก.ล.ต.ได้อนุมัติการจัดตั้งกองทุน Thai ESG ชุดแรกจำนวน 22 กองทุน และคาดว่าจะมีจำนวนกองทุนเพิ่มขึ้นในปีต่อๆ ไป
ขณะเดียวกัน ก.ล.ต.ยังเตรียมออกหลักเกณฑ์ให้กองทุน Thai ESG สามารถลงทุนใน Investment Token ที่ระดมไปทำโครงการเกี่ยวกับ Green ต่างๆ ได้ เพื่อสนับสนุนให้สตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอี เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เช่นเดียวกับธุรกิจขนาดใหญ่ คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1-2/2567
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า การจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund :Thai ESG) ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐโดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุน จะเป็นหนึ่งในกลไกหลักของตลาดทุนเพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนของประเทศโดยเฉพาะเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ.2065 ตามพันธสัญญาที่ให้ไว้ใน Paris Agreement เป็นแรงผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะการดำเนินกิจการที่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และหลักธรรมมาภิบาล (ESG)
รวมทั้งช่วยสร้างให้เกิดความเพียงพอของการออมเพื่อการเกษียณของประชาชน ซึ่งองค์กรในตลาดทุนไทยทั้งหมดต่างร่วมมือกันอย่างแข็งขันในการจัดตั้งกองทุน Thai ESG เพื่อช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนและ ESG และได้รับการสนับสนุนด้วยดียิ่งจากภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง กรมสรรพากร และ ก.ล.ต.
ทั้งนี้ มั่นใจว่า Thai ESG จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน ซึ่งยังมองว่าเม็ดเงินที่เข้ามาในกองทุน Thai ESG ในช่วงที่เหลทอของปีนี้ จะอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนในปี 2567 คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาในกองทุนรวม Thai ESG กว่า 20,000-30,000 ล้านบาท
“การลงทุนใน Thai ESG ถือเป็นการออมระยะยาว ได้สิทธิทางภาษี เป็นการลงทุนในอนาคต เพราะราคาหุ้นตอนนี้ถือว่าเป็นจังหวะเข้าลงทุน ในอนาคตมีอัพไซด์แน่นอน และยังเป็นการซื้อความยั่งยืนเพื่อประเทศ ผลักดัน บจ. ให้ใส่ใจเรื่อง ESG มากขึ้น รวมทั้งผลตอบแทนดีกว่าฝากแบงก์“ นายกอบศักดิ์ กล่าว
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า นักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) ถือเป็น stakeholder ที่จำเป็นและสำคัญมากในกระบวนการพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน เพราะเป็นตัวกลางช่วย Unlock value เป็นสะพานเชื่อมต่อ supply ซึ่งคือบริษัทจดทะเบียนและ demand คือผู้ลงทุนไทย
สำหรับความร่วมมือในการออกกองทุน Thai ESG ครั้งนี้จึงนับเป็นครั้งแรกที่กำหนดเป้าหมายเพื่อสร้างความยั่งยืน ครอบคลุมทุกมิติ ESG และเพื่อเป็นช่องทางการออมที่มีประสิทธิภาพในระยะยาวของประชาชน
สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ กองทุน Thai ESG ในระยะแรกจะครอบคลุมบริษัทจดทะเบียนไทยรวม 200 กว่าบริษัท ที่ได้รับการคัดเลือกว่ามีความโดดเด่นด้านความยั่งยืน และหรือมีการเปิดเผยข้อมูลและตั้งเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และตราสารหนี้ในกลุ่มความยั่งยืน เป็นต้น โดย Thai ESG จะต้องจดทะเบียนเป็นกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI) กับ ก.ล.ต. ที่เป็นหลักเกณฑ์การลงทุนอย่างยั่งยืนตามหลักสากล และมีการกำกับดูแลเข้มข้นกว่ากองทุนรวมทั่วไป
โดยกองทุนที่จัดตั้งขึ้นจะกำหนดนโยบาย กลยุทธ์การลงทุน แนวทางการคัดเลือกหลักทรัพย์ การลงทุน การติดตามการลงทุน การทำหน้าที่ active engagement ตลอดไปจนถึงการเปิดเผยผลการบริหารจัดการกองทุนว่าสอดคล้องหรือเป็นไปตามวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืนที่กองทุนนั้นๆ กำหนดไว้หรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือของ บลจ. สมาชิกเพื่อร่วมกันตรวจสอบติดตามบริษัทจดทะเบียนที่อาจไม่ปฏิบัติตาม ESG โดยกำหนด AIMC ESG Policy and Collective Action และการจัดทำ Negative List เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้จัดการกองทุนใช้กลั่นกรองบริษัทจดทะเบียนเพื่อลงทุนอีกด้วย กระบวนการทั้งหมดนี้แสดงถึง commitment ของ บลจ./กองทุน ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าการลงทุนของตนจะมีส่วนช่วยผลักดันบริษัทจดทะเบียนไทย และบริษัทผู้ออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนให้มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และเป้าหมาย Net Zero และเป้าหมายความยั่งยืนของประเทศอย่างจริงจัง
ในครั้งนี้มี บลจ. รวมพลังกันจัดตั้งกองทุน Thai ESG จำนวน 22 กองทุน จาก 16 บลจ. ซึ่งมีสัดส่วนทางการตลาดรวมกว่า 98% ทั้งนี้ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.ThailandESG.com
“มั่นใจว่าในช่วงการเสนอขายกองทุนรวม Thai ESG ที่เหลือ 3 สัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ จะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาตามเป้า 10,000 ล้านบาท หรือราว 100,000 บัญชี ซึ่งทางสมาคมบริษัทจัดการลงทุนคาดว่ากองทุน Thai ESG จะสามารถดึงดูดนักลงทุนรุ่นใหม่เข้ามามากขึ้น” นางชวินดา กล่าว
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้าน ESG อย่างต่อเนื่องในทุกมิติ ตั้งแต่พัฒนาและยกระดับบริษัทจดทะเบียนไทย บูรณาการเรื่อง ESG ให้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์และกระบวนการดำเนินธุรกิจ โดยให้คำนึงถึงการเติบโตไปพร้อมกับความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย สร้างต้นแบบธุรกิจที่มี ESG เพื่อเป็นแบบอย่าง
รวมทั้งมีการจัดทำ “รายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings” เพื่อรวบรวมบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่โดดเด่น ซึ่งในปี 2566 มีบริษัทจดทะเบียนได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนถึง 193 บริษัท
นอกจากนี้ ยังพัฒนา “SET ESG Data Platform” เพื่อจัดการข้อมูลด้าน ESG อย่างเป็นระบบ และจัดทำดัชนี SET ESG ให้ผู้เกี่ยวข้องใช้เป็น benchmark และนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์
การจัดตั้งกองทุน Thailand ESG Fund จะในครั้งนี้ จะเป็นปัจจัยให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญและเร่งพัฒนาธุรกิจตามหลัก ESG มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้าน ESG เป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ลงทุนไทย ที่จะได้ลงทุนอย่างยั่งยืนเพื่ออนาคต อีกทั้งยังช่วยในการขยายฐานและมีผู้ให้ความสนใจลงทุนเพิ่มขึ้น
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนกองทุน Thailand ESG Fund อย่างเต็มที่ ทั้งการให้ความรู้ และการประชาสัมพันธ์แก่ผู้ลงทุน ซึ่งได้ร่วมจัด Mutual Fund Fair ขึ้นในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ข้อมูล แนะนำกองทุนรวม Thai ESG แก่ผู้สนใจอีกด้วย
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.