เก็งกำไรกลุ่มมือถือ Q3/66 จับตา ADVANC ประกาศงบวันนี้

การประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 และ 9 เดือนแรกของปี 2566 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทยอยประกาศออกมากันแล้วในบางกลุ่มอุตสาหกรรม มาในสัปดาห์นี้ก็จะมีการรายงานผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องอีกหลายกลุ่มอุตสาหกรรมตามมา ซึ่งรวมถึงกลุ่มสื่อสาร (เฉพาะกลุ่มมือถือ) โดยในวันนี้ (30 ต.ค.) จะเป็นคิวของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ส่วน บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE จะประกาศงบวันที่ 9 พ.ย.2566     

ทั้งนี้ ในสัปดาห์นี้ “โพสต์ทูเดย์” จึงได้รวบรวมคาดการณ์ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 ของกลุ่มสื่อสาร (เฉพาะกลุ่มมือถือ) มาให้ดูว่ากำไรของ ADVANC และ TRUE เป็นอย่างไรกันบ้าง   

เริ่มกันที่ “ADVANC” บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ประเมินว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 3/2566 จะอยู่ที่ 7,069 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.2% จากไตรมาส 3/2565 แต่ลดลง 1.5% จากไตรมาส 2/2566 

โดยกลยุทธ์ของ ADVANC หลังคู่แข่งหลัก 2 รายควบรวมกิจการ ได้เปลี่ยนมาเน้นการแข่งขันด้านคุณภาพและประสิทธิภาพในการให้บริการทั้งมือถือ และอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง แทนการแข่งขันด้านราคาตั้งแต่ปลายปีก่อน ซึ่งคู่แข่งเดินรอยตามกลยุทธ์ของ ADVANC เช่นกัน หนุนให้รายได้เฉลี่ยต่อราย (ARPU) ของ ADVANC เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2/2566 ชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 3/2566 ทั้งบริการมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง 

ดังนั้นคาดรายได้บริการมือถือเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2565 เล็กน้อย จาก ARPU ที่ฟื้นตัว และฐานสมาชิกที่เพิ่มขึ้น แต่อ่อนตัวลงจากไตรมาส 2/2566 จากฐานสมาชิกระบบเติมเงินที่ลดลง เป็นผลจากผลกระทบของการถอดแพ็คเก็จเติมเงิน unlimited internet fixed speed ราคาถูกออกไปทั้งหมด

ขณะที่คาดรายได้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มขึ้นราว 20% จากไตรมาส 3/2565 โดย ADVANC ได้ปลดแพ็คเก็จราคาต่ำ 299 บาทออกไปทั้งหมดในการเสนอขายสมาชิกใหม่ ส่งผลให้ APRU เพิ่มขึ้น และจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับคาดรายได้บริการลูกค้าองค์กรเพิ่มขึ้นเกิน 10% จากไตรมาส 3/2565 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2566 เล็กน้อย ตามดีมานต์ลูกค้าองค์กรที่เพิ่มขึ้นในด้านบริการคลาวด์ และบริการ ICT ที่เชื่อมต่อโครงข่าย 4G/5G หนุนให้คาดรายได้ค่าบริการโดยรวมทรงตัวจากไตรมาส 2/2566 และเพิ่มขึ้น 2.5% จากไตรมาส 3/2565 

นอกจากนี้ ADVANC ยังควบคุมต้นทุนและรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายการตลาดที่ลดลงมาก เนื่องจากเน้นประชาสัมพันธ์ทางสื่อออนไลน์ และช่องทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของตนเอง

สำหรับผลบวกจาก ARPU ที่คาดจะฟื้นตัวต่อเนื่อง และฤดูกาลท่องเที่ยวไทยในไตรมาส 4/2566 และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นมากในไตรมาส 4/2566 ประกอบกับแผนการขายแพ็คเกจ iPhone-15 โดยลดราคาเครื่อง พ่วงกับบริการรายเดือน 5G ที่มี ARPU เพิ่มขึ้นได้ราว 15-20% ช่วยให้รายได้บริการมือถือเติบโตได้ดีขึ้นในไตรมาส 4/2566 ขณะที่ธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน และธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระดับสูง 

อีกทั้งค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่ายมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงปีก่อน เนื่องจากอุปกรณ์โครงข่าย 3G ทยอยตัดจำหน่ายหมดไปบางส่วนตั้งแต่ปีก่อน และเห็นผลทั้งหมดในไตรมาส 3/2566 รวมทั้งบริษัทยังเน้นนโยบายควบคุมตุ้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้คาดกำไรปี 2566 พลิกฟื้นกลับมาเติบโตได้ราว 12.2% และเติบโตต่อเนื่องอีก 12.7% ในปี 2567

ทั้งนี้ กำไรพลิกฟื้นกลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2566 ประกอบกับดีลเทคโอเวอร์กิจการ 3BB ที่ยังรอผ่านการอนุมัติจาก กสทช. ซึ่งคาดว่าดีลดังกล่าวจะเสร็จภายในไตรมาส 1/2567 โดยดีลดังกล่าวจะช่วยให้เกิด synergy จากฐานลูกค้าเน็ตบ้านที่เพิ่มขึ้น และต่อยอดการเสนอบริการอื่นๆ ของ ADVANC พ่วงไปด้วยข้อเสนอที่จูงใจ ช่วยเร่งเพิ่มฐานรายได้ และเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างกำไรในอนาคต รวมทั้งคาด Div. Yield ราวปีละ 4% จึงแนะนำ “ทยอยซื้อสะสม” ราคาเป้าหมาย 250 บาท 

บล.เอเซีย พลัส คาดกำไรปกติของ ADVANC ในงวดไตรมาส 3/2566 ที่ 6,838 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาส 2/2566 เนื่องจากคาดรายได้ค่าบริการที่เป็นรายได้หลักจะค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาส 2/2566 แต่กำไรจะชะลอลง จากต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 3/2565 ได้แรงหนุนจากรายได้ค่าบริการที่สูงขึ้น ขณะที่ควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น 

โดยหากกำไรไตรมาส 3/2566 เป็นไปตามคาด จะทำให้กำไร 9 เดือนแรก ปี 2566 มีกำไรปกติ 20,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 73% ของคาดการณ์ทั้งปี 2566 แต่ยังคงประมาณการกำไรปี 2566 ไว้ที่ 28,182 ล้านบาท เพราะคาดกำไรช่วงไตรมาส 4/2566 จะไต่ระดับสูงขึ้นเป็นจุดสูงสุดของปี 2566 

นอกจากนี้ ยังมี Upside จากสัญญาใช้คลื่น 700 MHz กับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และ ดีลซื้อ บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTTBB และ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF ที่คาดจะจบในปีนี้ รวมทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ที่ทำร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF และ Singtel ซึ่งจะให้บริการได้ในปี 2568 คงคำแนะนำ “Outperform” ราคาเป้าหมาย 243 บาท 

มากันที่ “TRUE” บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คาดการณ์ผลขาดทุนหลักในไตรมาส 3/2566 ที่ 2,190 ล้านบาท ดีกว่าขาดทุนหลักในไตรมาส 2/2566 ที่ 2,375 ล้านบาท เล็กน้อย เป็นผลบวกจากรายได้ที่เติบโต 1% จากไตรมาส 2/2566 อัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลง และการประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดจาก synergy จะถูกชดเชยด้วยผลลบจากต้นทุนในการควบรวมกิจการที่เพิ่มขึ้นประมาณ 300 ล้านบาท เป็น 1,000 ล้านบาท 

ทั้งนี้ คาดว่าการฟื้นตัวของผลประกอบการรายไตรมาสมีแนวโน้มที่จะเร่งตัวขึ้นในปี 2567 เนื่องจากต้นทุนการควบรวมกิจการทรงตัวผนวกมูลค่า synergy และ ARPU ที่เพิ่มขึ้น 

หากผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 เป็นไปตามคาด ส่งผลให้ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ปี 2566 มีสัดส่วน 76.5% ของประมาณการทั้งปี 2566 ที่คาดว่าจะขาดทุนหลัก 8,123 ล้านบาท ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 8.60 บาท เนื่องจากคาดว่ากำไรจะค่อยๆ ฟื้นตัว ในขณะที่หุ้นมีราคาถูก (EV/EBITDA ปี 2567 ต่ำกว่าระดับก่อนควบรวมกิจการ 11%)

ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า TRUE จะมีผลขาดทุนปกติงวดไตรมาส 3/2566 ที่ 2,533 ล้านบาท แย่กว่างวดไตรมาส 1/2566 ที่มีผลขาดทุนปกติ 1,652 ล้านบาท และงวดไตรมาส 2/2566 ที่มีขาดทุนปกติ 2,376 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานที่แย่ลงต่อเนื่อง เป็นเพราะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการควบรวมกับดีแทค ขณะที่รายได้ค่อนข้างทรงตัวในช่วง low season 

แม้เชื่อว่าการดำเนินงานในงวดไตรมาส 4/2566 จะดีขึ้น จากผลบวกของฤดูกาลที่จะหนุนให้รายได้ฟื้นตัวขึ้นในทุกธุรกิจ และราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 8.50 บาท มี upside สูง แต่คงคำแนะนำ “Neutral” เพราะ 1) ระยะสั้นราคาหุ้น TRUE อาจถูกกดดันจากงบไตรมาส 3/2566 ที่คาดจะออกมาแย่ลง และ 2) Synergy จากการควบรวมที่มาช้ากว่าที่ตลาดคาด และจะทำให้ภาพการดำเนินงานใน 1-2 ปีข้างหน้า จะยังคงขาดทุนต่อ