เฉลยแล้ว! เหตุผลที่ "อิรัก" โดนใบแดง ทั้งๆที่ดีใจท่ากินข้าวเหมือน "จอร์แดน"

ควันหลงการแข่งขันฟุตบอลเอเชียน คัพ 2024 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ณ คาลิฟา อินเตอร์เนชันแนล สเตเดียม ประเทศกาตาร์ ที่ ทีมชาติจอร์แดน พลิกชนะ ทีมชาติอิรัก 3-2 ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ ไปพบกับ ทีมชาติทาจิกิสถาน ต่อไป

โดยเกมนี้มีดราม่า เมื่อ อิรัก เหลือผู้เล่น 10 คน จากจังหวะที่ อายมาน ฮุสเซน ยิงประตูพาทีมขึ้นนำ 2-1 พร้อมดีใจด้วยท่ากินข้าว ทำให้เขาโดนใบเหลืองที่ 2 กลายเป็นใบแดงทันที ซึ่งหลายคนสงสัยว่า อายมาน ฮุสเซน โดนใบแดง แล้วทำไมแข้งจอร์แดน 5 คน ที่ทำท่ากินข้าวเหมือนกัน ตอนขึ้นนำ 1-0 ถึงไม่โดนด้วย

จากกรณีดังกล่าว เมื่อพิจารณาจากกฎของไอเอฟเอบี (IFAB) คณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศ หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำหนดกติกาการแข่งขันฟุตบอล ดูเหมือนว่า อายมาน ฮุสเซน จะโดนใบเหลืองที่ 2 เนื่องจากทำท่าทางที่ยั่วยุ, เยาะเย้ยคู่แข่ง ตามความเห็นของผู้ตัดสิน ซึ่งน่าจะเป็นการล้อเลียนการเฉลิมฉลองของฝ่ายตรงข้ามก่อนหน้านี้นั่นเอง

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเสริมจากแฟนบอลอาหรับว่า อาหารที่แข้งจอร์แดน-อิรักทำท่านั่งเปิบอยู่นั้นคือ "มานซาฟ" ที่ประกอบด้วยข้าว, เนื้อแกะ และ โยเกิร์ตแห้งที่ทำเป็นซอสที่เรียกว่า จามีด โดย มานซาฟ ถือเป็นอาหารประจำชาติของประเทศจอร์แดน ในงานฉลองต่างๆ มักทำจานใหญ่นั่งทานด้วยมือล้อมวงหลายคน

หลังจบเกม สื่อโซเชียลอย่างเป็นทางการของสมาคมฟุตบอลจอร์แดน ลงผลสกอร์ 3-2 พร้อมภาพนักเตะนั่งกิน มานซาฟ ประกอบทุกแพลตฟอร์ม ส่วน อายมาน ฮุสเซน แข้งอิรักที่โดนใบแดง ก็ออกมากล่าวขอโทษประชาชนชาวอิรักหลังเกม

ส่วนอีกประเด็นดราม่าที่หลายคนเข้าใจก็คือ แข้งอิรักทำท่าทานอาหารด้วยการใช้มือซ้าย ซึ่งปกติแล้ววัฒนธรรมในการกินใช้มือขวา เพราะมือข้างซ้ายไว้หยิบจับของสกปรกหรือทำงานที่ไม่ดี จึงตีความเป็นเจตนาท่าทางเหมือนยั่วยุเยาะเย้ยวัฒนธรรมของฝั่งตรงข้าม รวมไปถึง ผู้ตัดสินในเกมนี้คือ อาลีเรซา ฟากานี ชาวอิหร่าน ชาติที่มีข้อพิพาทกับอิรักมาอย่างยาวนานด้วย

 

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.