นายกฯ เศรษฐาเปิดใจ7 เดือนรู้ใจพรรคร่วมรัฐบาลขึ้นย้ำจะเร่งแก้ปัญหาให้ปชช.
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดใจถึงการปรับตัวจากการเป็นนักธุรกิจ มาสู่นักการเมือง โดยยอมรับว่า มีการปรับตัวมาก เพราะการเป็น CEO ของบริษัท ต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรอบตัว 4 เสาหลัก ได้แก่ ลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน และสังคม รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากกรรมการ และผู้ถือหุ้น แต่เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ที่มี 141 เสียง และเป็นรัฐบาลผสมที่มีหลายพรรคการเมืองแล้ว จึงมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่แตกต่างกันไป ทั้งประชาชน สส. สว. สถาบันความมั่นคง ภาคประชาสังคม และหลาย ๆ ภาคส่วน ที่จำเป็นต้องมีการพูดคุย และชี้แจง
รวมถึงการเป็นรัฐบาลผสม ก็ถือเป็นหุ้นส่วนในการเข้ามาทำงานเพื่อประชาชน แต่ละพรรคการเมือง และ สส.แต่ละคน ก็มีนโยบายที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชนแตกต่างกัน ดังนั้น การบริหารจัดการก็อาจมีช้าไปบ้าง แต่การทำงานร่วมกันตลอด 7 เดือน ก็มั่นใจว่า รู้ใจซึ่งกันและกัน เป็นหุ้นส่วน และให้เกียรติซึ่งกันและกัน การบริหารประเทศจากนี้ต่อไป จะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ดีขึ้น
ส่วนการป้องกันข้อครหาการเอื้อผลประโยชน์จากการเป็นนักธุรกิจ และผันตัวเองมาเป็นนักการเมืองนั้น นายกรัฐมนตรี มั่นใจว่า การที่ตนเองเข้าสู่การเมือง ตนมีจุดมุ่งหมายเดียว เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกมิติ และไม่กังวลถึงการป้องกันตนเองต่อเรื่องดังกล่าว จึงมั่นใจว่า ตนเองไม่มีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนแน่นอน และทรัพย์สิน ชีวิตส่วนตัวต่าง ๆ ของตนเองนั้น ลงตัวแล้ว ทุกคนในครอบครัวมีความสุข มีหน้าที่การงานที่เหมาะสมแล้ว ดังนั้น ตนจึงไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และไม่มีการตักตวงผลประโยชน์จากการทำการเมืองอย่างแน่นอน
พร้อมย้ำว่า 3 ปีครึ่งหลังจากนี้ มีเป้าหมายเดียว คือ การยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในทุก ๆ มิติให้ดีขึ้น และหวังว่า จะส่งผลให้พรรคเพื่อไทย สามารถชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไป และไม่มีสิ่งใดที่จะมาหยุดยั้งตนได้ รวมถึงตนเองยังมีประสบการณ์กว่า 40 ปี ในวงการธุรกิจ มีเพื่อนทั้งนักธุรกิจ นักการเมืองทั้งในพรรค และต่างพรรค จึงมั่นใจว่า จะมีข้อมูลที่เพียงพอ รู้ลึก และรู้เรื่อง สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บริสุทธิ์ใจ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
ส่วนการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว อาจทำให้ต้องเสียเพื่อนบ้างในกรณีที่เพื่อนอาจไม่สมประโยชน์นั้น นายกฯ เศรษฐา ยืนยันว่า หากเพื่อนตนดังกล่าว ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน หรือเอาเปรียบ ตนก็พร้อมที่จะเสียเพื่อน เพราะตนเชื่อว่า เมื่อคนเราอายุ 60 ปีแล้ว ก็อยากทำในสิ่งที่ชอบ แต่การตัดสินใจเข้าสู่ถนนการเมืองของตนเอง ก็ยืนยันแล้วว่า ต้องการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น เมื่อตนได้ประกาศอุทิศตนแล้ว และเพื่อน ๆ ได้รับทราบแล้ว เพราะฉะนั้น 3 ปีครึ่งต่อจากนี้ หากตนจะมีเพื่อนน้อยลง เพราะต้องทำประโยชน์ให้กับประชาชนตนก็พร้อม
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงมุมมองทางการเมืองของตนเอง ในฐานะจากคนนอก มาเป็นคนในวงการการเมืองแล้วว่า ไม่ได้เปลี่ยน ซึ่งหลาย ๆ บอกว่า นักการเมือง มีทั้งดี และเลว ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง แต่การบอกว่า นักการเมืองแต่มีเลวนั้น บางเรื่องเป็นความเห็นต่าง และมีวิธีการดูแลประชาชนที่แตกต่างจากรัฐบาลมอง ดังนั้น จึงต้องปรับตัวเข้าหากัน รับฟังความเห็นกันให้มาก หรือหากจะมีผู้ที่มาให้คำแนะนำตนเอง เพื่อหวังผลประโยชน์นั้น ก็ถือเป็นการดูถูกตน
พร้อมกันนี้ นายกฯ เศรษฐายังยยอมรับว่า ยังมีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดั่งใจ เช่น ราคาพืชผลทางการเกษตร ที่สามารถทำให้ดีขึ้นอีกได้ทั้งพืชหลัก ข้าว ข้าวโพด มันสัมปะหลัง อ้อย ยางพารา รวมถึงความพยายามในการผลักดันราคาพืชรองอื่น ๆ ไม่ให้ตกต่ำผ่านการเปิดตลาดเพิ่ม หรือการดูดซัพไพน์ออกจากตลาด เพื่อให้ราคาสูงขึ้น, การท่องเที่ยว แม้ในปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวสูงกว่าปีที่แล้วถึงเท่าตัว แต่ก็ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก จากการที่ตนเองเดินทางไปเยือนต่างประเทศ เพื่อเปิดตลาดการท่องเที่ยว, นโยบายวีซ่าฟรี, การอำนวยความสะดวกการตรวจคนเข้าเมืองให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และดูแลนักท่องเที่ยวให้ดีขึ้น จัดการไกด์เถื่อน และเรื่องอื่น ๆ
ดังนั้น จึงมั่นใจว่า รัฐบาล สามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นได้อีก, การแก้ปัญหากรมศุลกากร ซึ่งเป็น 1 ในกรม 3 ภาษีหลักของประเทศ แต่สามารถเก็บภาษีได้เพียง 3 เปอร์เซ็นของรายได้ประเทศ หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำทั้งที่เป็นกรมหลัก ที่สามารควบคุมสินค้าเถื่อนเข้ามาในประเทศไม่ให้มากระทบความเป็นอยู่ของเกษตรกร
พร้อมยังเปิดเผยว่า มีผู้มาวิ่งเต้นกันจำนวนมาก ดังนั้น จึงเป็นจำเป็นจะต้องพัฒนากรมศุลกากร ให้เป็นกรมที่มีความสะอาด บริสุทธิ์ สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ในหลาย ๆ มิติ ทั้งการป้องกันของเถื่อน ไม่ให้มารบกวนการพัฒนา SMEs ไทย, หรือบางคนสั่งของพรีออเดอร์จากต่างประเทศ เพื่อหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งถือเป็นจุดรั่วไหล ที่ทำให้การค้าขายของประเทศ ยังไม่ดีเท่าที่ควร ตนจึงยังไม่พึงพอใจ และจะต้องพัฒนาต่อไปให้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังย้ำอีกว่า ราคายางที่สามารถมาถึง 100 บาทต่อกิโลกรัมได้ เป็นเพราะรัฐบาลให้ความใส่ใจ และหลายหน่วยงานช่วยกันป้องกัน ไม่ให้ยางเถื่อนเข้าประเทศ รวมถึงการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ที่ระบาดมากทั้งผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย จนแพร่ระบาดในเด็ก-เยาวชน และทำลายสุขภาพอย่างร้ายแรง จึงต้องพิจารณาว่ารัฐบาลจะดำเนินการใดได้บ้าง รวมถึงการแก้ไขปัญหาเสพติด ที่แม้ไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา จะสามารถจับได้มากกว่าปีที่ผ่านมาทั้งปี แต่ก็ยังสามารถปราบปรามได้อีก
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการลงทุนจากต่างประเทศว่า รัฐบาลดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อดึงดูดนักลงทุน ซึ่งประธานผู้แทนการค้าไทย และเลขาธิการบีโอไอได้นำเสนอไปแล้ว และหลังจากนี้ จะต้องพิจารณาต่อว่า เมื่อรัฐบาลให้นักลงทุนเข้ามาลงในประเทศไทยแล้ว จะต้องมีมาตรการอื่น ๆ ที่นอกเหลือจากมาตรการทางภาษีมาชี้ชวน เช่น มีค่าครองชีพที่เหมาะสม มีชีวิตความเป็นอยู่ และสถานที่ท่องที่ของไทยที่พร้อม รวมถึงโรงเรียนนานาชาติที่รองรับลูกหลานนักลงทุน มีระบบสาธารณสุขเป็นมาตรฐานระดับโลก เป็นที่พอใจของนักลงทุนต่างชาติแน่นอน จึงได้สั่งการให้เลขาธิการบีโอไอ และประธานผู้แทนการค้าไทยไปพิจารณาดำเนินการแล้ว
ส่วนหลายปัจจัยทั้งสภาพเศรษฐกิจ และงบประมาณประจำปี ที่ทำให้นโยบายของรัฐบาลไม่เป็นไปตามเป้าโดยเฉพาะนโยบายดิจิทัล วอลเล็ตจนต้องมีการเลื่อนออกไปนั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ตนเองไม่อยากโทษงบประมาณที่ล่าช้า เพราะกว่าที่รัฐบาลจะจัดตั้งได้ ต้องใช้เวลาถึง 3 เดือน ซึ่งนานที่สุดในประวัติศาสตร์ และไม่ได้ใช้ข้ออ้างที่กว่าที่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 จะมีผลใช้บังคับในเดือนพฤษภาคม
เพราะรัฐบาลทราบดี จึงได้ใช้นโยบายอื่นที่รัฐบาลสามารถทำได้ มากระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น วีซ่าฟรี, การพักหนี้เกษตรกร, การลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ซึ่งการดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตนั้น รัฐบาลต้องการเม็ดเงินใหม่ และรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ต้องรับฟังความเห็นหลายภาคส่วน และทุกองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย, สภาพัฒน์ฯ และนักวิชาการ ถึงกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับดิจิทัลวอลเล็ต แต่ไม่ว่าอย่าไรก็ตาม ย้ำว่า ในไตรมาสที่ 4 นี้ ประชาชนจะได้รับดิจิทัลวอลเล็ตแน่นอน ยืนยันทุกขั้นตอนต้องตรจสอบได้ โปร่งใส บริสุทธิ์ สุจริต และมั่นใจ จะไม่มีอะไรมาเตะถ่วงทำให้โครงการฯ ต้องเลื่อนออกไปอีก
ส่วนข้อกังวลนโยบายดิจิทัล วอลเล็ตจะเป็นการใช้งบประมาณมากเกินไป และสุดท้ายอาจทำให้ประชาชนเกิดความเคยชิน รอเงินจากรัฐบาลอยู่เรื่อย ๆ นั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า นโยบายดังกล่าว เป็นการเติมเงินเข้ากระเป๋าประชาชน เพื่อช่วยแก้ไขวิกฤตที่ผ่านมาจากโควิด-19 และรัฐบาล ได้จำกัดพื้นที่การใช้งานในพื้นที่ เพื่อให้จังหวัดเล็ก ๆ ได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก และมีโอกาสจับจ่ายใช้สอย จึงมั่นใจว่า จะเกิดประโยชน์ และรัฐบาลมาถูกทาง
ส่วนการประเมินการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัล- วอลเล็ต รวมไปถึงเศรษฐกิจต่าง ๆ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในช่วงใดนั้น นายกรัฐมนตรี คาดว่า ในช่วงไตรมาส 1-2 ของปีหน้าจะเห็นผล และนโยบายการท่องเที่ยว จะยังคงเป็นเรือธงในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งในไตรมาส 4 ของปีนี้ จะมีการจัดงานทั้งพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และภูเก็ตมากมาย
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงช่วงเวลาระหว่างที่ดิจิทัลวอลเล็ตยังไม่มีผลใช้บังคับว่า จะมีการใช้นโยบายอื่น ๆ ตามที่รัฐบาล ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ทั้งการสร้างถนน การแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับเกษตรกร
นอกจากนี้ยังเปิดเผยด้วยว่า ตนเองยังมีแผนที่จะเดินทางไปประเทศในแถบแอฟริกา เพื่อเปิดตลาดการค้าด้านการเกษตรใหม่ ๆ เพราะประเทศไทย ต้องพึ่งการเกษตรมาก และต่างชาติให้ความมั่นใจต่อผลิตภัณฑ์ข้าวของไทย รวมถึงยังประเมินว่า อีกประมาณ 10 ปี ประเทศไนจีเรีย จะติด 1 ใน 5 ประเทศที่มีจีดีพีสูง และมีความต้องการทางอาหารสูงมาก ดังนั้น หากประเทศไทย สามารถป้องกันสินค้าเถื่อน สามารถเปิดตลาดใหม่ และแปรรูปอาหารให้ดีขึ้น ก็จะเป็นโอกาส และช่วยให้ประชาชน มีรายได้ที่สูงขึ้นตามมาด้วย
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.