ก้าวไกล ลุ้นอีกเฮือก 31ม.ค. คำตัดสินชี้ชะตา เดิมพัน อนาคตการเมือง

ผลคำวินิจฉัย 'ศาลรัฐธรรมนูญ' เมื่อ24ม.ค. ตัดสินให้ 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล พ้นบ่วงกรรม หลังจากถูกสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) 6 เดือน รอดพ้น ไม่มีความผิด การถือครองหุ้นไอทีวี ได้รับการคืนสถานภาพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) ดังเดิม

 
กลับเข้าทำหน้าที่ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะฝ่ายค้าน เพื่อเดินหน้าตรวจสอบ รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และ พรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้ง 

คดีเมื่อ 24ม.ค. จบลง พอทำให้โล่งใจไปได้บ้าง แต่ยังไม่หมด ยังมีเรื่องให้ต้องตามลุ้นต่อ

ตามที่ 'ธีรยุทธ สุวรรณเกษร' (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่า การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคก้าวไกล(ผู้ถูกร้องที่ 2) เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ ..) พ.ศ. เพื่อยกเลิกประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่

ศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดนัดฟังคำพิพากษา 31 ม.ค.

เป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แม้ พรรคก้าวไกล อัดคลิปแสดงความบริสุทธิ์ใจ ยืนยันหนักแน่น ไม่ได้ล้มล้าง 'ชัยธวัช ตุลาธน' หัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แสดงความมั่นใจเน้นย้ำ พรรคก้าวไกลไม่ได้ล้มล้างการปกครอง จากเหตุดังกล่าว จะไม่นำไปสู่การยุบพรรค เนื่องจาก ผู้ร้องได้ร้องเพียงแค่ให้หยุดการกระทำดังกล่าว 

ขณะเดียวกัน ผู้ที่เฝ้าติดตามสถานการณ์การเมือง วิเคราะห์ผลทางคดี ไปได้หลายมิติ

ทางเลวร้ายสุด ผลออกมาเป็นลบ หากมองว่า เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ศาลสั่งให้ยกเลิกการกระทำ และผลจาก คำวินิจฉัย อาจถูกนำไปต่อยอด ร้องเอาผิด 44 สส.ก้าวไกล ที่เคยร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายดังกล่าว เอาผิด จริยธรรม นำไปเทียบเคียง 'พรรณิการ์ วาณิช' อดีตสส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่เคย โดนศาลลงดาบ พิพากษารุนแรง ตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิต

และยังเป็นการเปิดช่องร้องเรียนให้นำไปสู่ การยุบพรรคได้ 

ผลออกมากลางๆ  อาจเป็นการระบุลงไป กำหนดขอบเขต กรอบของการแก้ไขปรับปรุงมาตรา 112 ทำได้แค่ไหนมากน้อยอย่างไร

ผลออกมาเป็นคุณ ไปทิศทางบวก ยกคำร้อง เนื่องจาก อำนาจหน้าที่เสนอแก้ไขกฎหมาย เป็นอำนาจหน้าที่สส. ใช้กลไกลนิติบัญญัติ ผ่านสภาฯ เป็นผู้ตัดสินพิจารณา 
-มาตรา 112 เป็นเพียงมาตราหนึ่งของกฎหมายที่แก้ไขได้
-ไม่เข้าลักษณะต้องห้ามหาเสียง เนื่องจากกกต.ได้ตรวจสอบนโยบาย และเคยยกคำร้อง ผู้ที่มาร้องเรียน ตั้งแต่ก่อนหาเสียงแล้ว
-เป็นเพียงพูด ยังไม่มีการลงมือทำ
-และเมื่อยังไม่ได้ทำ ความผิดจึงยังไม่เกิด

แต่ไม่ว่าอย่างไร จากกรณีดังกล่าว บรรดาผู้เฝ้าติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างเข้มข้น หรือแม้แต่ในมุม นักกฎหมาย นักรัฐศาสตร์ ยังมองไปในหลายมุมมอง หลายแง่มุม

ตามหลักการ การเสนอแก้ไขเนื้อหากฎหมายสามารถทำได้ทุกฉบับ ส่วนผลจะออกมาอย่างไร เป็นดุลพินิจสส.ในสภาฯ ในฐานะหนึ่งในสามเสาหลัก ในนาม อำนาจนิติบัญญัติ ต้องไปถกเถียง และ หาข้อสรุป ผ่านการลงมติเสียงส่วนใหญ่ เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย

ทว่า ในแง่มุม หลักคิด รัฐศาสตร์ ที่มีความกังวล หากปล่อยให้มีการแก้ไข เปรียบเหมือนเป็นการ เปิดประตูบานแรก จะเป็นการเข้าทาง คีย์แมนนอกสนาม อาศัย เงื่อนไขกฎหมายที่เปิดช่องไว้ แล้วสิ่งที่จะตามมาอีก 1-2-3-4 จะเป็นอย่างไรต่อไป ยิ่งในเรื่องดังกล่าว ไม่เพียงแค่จะใช้ หลักกฎหมายอย่างเดียว ยังมี มิติอ่อนไหวเกี่ยวไปถึง สถาบัน และ ความมั่นคงแห่งรัฐ มาเกี่ยวข้องอีกด้วย  

พรรคก้าวไกล ถูกมองเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ มีนโยบายก้าวหน้า ก้าวล้ำ ทำการเมืองเชิงความคิด ลงเลือกตั้งเพียงแค่ 2 ครั้ง ชนะการเลือกตั้ง เป็นพรรคอันดับหนึ่ง สร้างความเซอร์ไพรส์ทางการเมืองไม่น้อย แม้ในการหาเสียง การโหมประโคมนโยบาย พรรคจะชูเรื่องนี้ เป็นหนึ่งในแนวทางหาเสียง 

แต่มิได้หมายความว่า ผู้ลงคะแนนเสียงกว่า 14 ล้านเสียงในทุกคน จะเห็นด้วยกับ ปมประเด็นนี้ อาจถูกใจ ในเนื้อหาสาระ นโยบายอื่น ของพรรคใหม่ทางการเมือง จึงตัดสินใจเลือก มีอยู่จำนวนไม่น้อย

ผลสรุป คำพิพากษา ศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 31 ม.ค. จะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม สิ่งหนึ่งที่มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน ในคำวินิจฉัยกลางฉบับเต็ม และ คำวินิจฉัยส่วนตน จากตุลาการทั้ง 9 คน เป็นอีกแง่มุม ที่คงจะนำไปพูดถึงกันอย่างกว้างขวางทั้งในแง่ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ กันอย่างกว้างขวางอย่างแน่นอน