'ปิยบุตร'โวยไม่ควรถูกฟ้องคดียุยงปลุกปั่นปมจัดClubhouseเมื่อปี64

เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ อาคารกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง
พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง นัดส่งตัวพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 เเละความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ฯให้พนักงานอัยการพิจารณาสำนวนเพื่อมีคำสั่ง กรณีนายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เข้าแจ้งความดำเนินคดีกรณีจัดรายการใน Clubhouse เมื่อวันที่ 3มี.ค. 2564

นายปิยบุตรให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าพบพนักงานอัยการว่า กรณีการจัดรายการช่วงมี.ค.64 นายณฐพรได้อ่านฟังข้อความหรือไม่ ตนไม่ทราบก็ไปแจ้งความพนักงานสอบสวน 17 เม.ย.2566 ตอนนี้ผ่านมา9เดือนสุดท้ายพนักงานสอบสวนมีความเห็นทำสำนวนมาส่งให้อัยการซึ่งการสอบสวนก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเเละตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่สันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้มีการควบคุมตัวใดๆทั้งสิ้น และให้สิทธิ์ในการต่อสู้คดีเต็มที่ 

แต่สิ่งที่ผมจะตั้งข้อสังเกตไว้มาตลอดก็คือตกลงเหลือประเทศไทยเราในกระบวนการยุติธรรมอาญาวิธีพิจารณาความอาญา เราจะเดินหน้ากันแบบไหนตกลงแล้วจะให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจหน้าที่เป็นเหมือนคนส่งหมาย ส่งสำนวนมาให้อัยการโดยที่ไม่มีดุลพินิจอะไรเลย ซึ่งชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าพนักงานสอบสวนก็คงต้องสอบสวนให้เต็มที่ 

ตอนตนไปรับทราบข้อกล่าวหาที่สน. นางเลิ้งขอสมมุติว่าถ้าท่านมาเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ถ้าเราคิดแบบทำเป็นโจทย์ข้อสอบตนเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยไม่เข้าองค์ประกอบความผิดเเละจะไม่ต้องมารับทราบข้อกล่าวหาไม่ต้องมานั่งถูกทำสำนวนส่งอัยการด้วยซ้ำแต่ที่ผ่านมาเพราะเป็นคดีที่เกี่ยวพันกับความมั่นคง ดุลพินิจของพนักงานสอบสวนมันหายไปเลยและตามน้ำกันไปหมด ต้องลองดูว่าที่ผ่านมามีจำนวนมากที่ศาลยกฟ้อง พนักงานสอบสวนต้องมีดุลพินิจ ซึ่งยืนยันว่าถ้าเรื่องไหนไม่เข้าองค์ประกอบก็ควรจะไม่ต้องรับตั้งแต่แรกจะได้ไม่ต้องทำสำนวนส่งมาที่อัยการ

ฝ่ายบริหารรัฐบาลชุดนี้ที่นำโดยพรรคเพื่อไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนตอนช่วงหาเสียงโดยแกนนำของพรรคเพื่อไทยพูดไว้ว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ 116 เเละกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพมันไม่ต้องไปแก้ไขหรือยกเลิก แค่จัดการแก้ปัญหากระบวนการยุติธรรมก็เพียงพอแล้วใช้มาตราการบริหารทำกระบวนการยุติธรรมให้มันยุติธรรมก็พอแล้ว วันนี้รัฐบาลเข้ามาปฎิบัติหน้าที่แทบจะไม่เห็นพูดเรื่องนี้เลย  ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก เเค่สั่งให้พนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่อย่างมาตรฐานเท่าเทียมกันไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นคดี112 หรือ116 หรือคดีการเมือง

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของตนคนเดียวเป็นเรื่องของคนอีกมากมายที่เสียเวลาแบบนี้ เเละมันเปิดทางให้อาชีพใหม่มันเกิดก็คืออาชีพนักร้อง ซึ่งหน้าเดิมๆทั้งนั้น ขอฝากสื่อมวลชนไปสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี

“ไปถามทนายผู้พิพากษาอัยการที่ไหนก็ได้ถามนอกรอบก็ได้ว่าเคสตรงนี้มันเข้า 116 ตรงไหนมันยุยงปลุกปั่นไหมเป็นคนบอกด้วยซ้ำว่าให้ทำและรณรงค์ให้ใจเย็นทั้งสองฝ่ายและกลายเป็นว่าผมปลุกปั่น ส่วนเรื่องขอความเป็นธรรมต่ออัยการเดี๋ยวต้องลองคุยกับทนายความดูว่าจะดำเนินการขั้นตอนอย่างไร แต่เราคิดดูประชาชนจำนวนมากอย่างเช่นประชาชนตาดำๆนิสิตนักศึกษาโดนและมีภาระเต็มไปหมดเเล้วบอกว่าจะปรองดอง บอกว่าจะก้าวข้ามความขัดแย้งเเต่เรื่องแบบนี้มันยังมีอยู่เต็มไปหมดมันจะจบไปได้ยังไง” นายปิยบุตรระบุ

ทั้งนี้ พนักงานอัยการสำนักงานอัยการกรุงเทพใต้ได้นัดนายปิยบุตร ฟังคำสั่งครั้งเเรกในวันที่ 8 ก.พ.2567 ช่วงเช้า

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.