“จุรินทร์”ชำแหละงบปี67เจอประท้วงแตะงบราชทัณฑ์ปมนักโทษเทวดา

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์  ในฐานะฝ่ายค้าน ว่า แม้ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่งบประมาณปี 67 เป็นกฎหมายที่มีความสำคัญ ถ้ารัฐบาลเสนอแล้วไม่ผ่านความเห็นชอบของสภา รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือยุบสภา แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะต้องระดม สส.พรรคร่วมรัฐบาลมาลงคะแนนให้ครบจนได้ ซึ่งจะผ่านความเห็นชอบวาระแรก เพราะรัฐบาลชุดนี้มีเสียงข้างมากเบ็ดเสร็จเด็ดขาดถึง 314 เสียง ถ้าหากไม่ผ่าน นายกฯ ก็คงต้องเลิกใส่ถุงเท้าได้แล้ว 

ทั้งนี้ ที่นายกฯ แถลงเมื่อเช้าทุกอย่างดีหมด แต่ตนมองว่างบประมาณนี้เป็นฉบับแรกของรัฐบาลชุดนี้ เกิดจากการนำงบปี 67 ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มารื้อทำใหม่ทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้ปฏิทินงบช้าไปกว่า 9 เดือน เพราะมัวแต่ตั้งรัฐบาลเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด จึงล่าช้าเหมือนงบประมาณเป็ดง่อย มีเวลาใช้เงินแค่ 5 เดือน จาก 12 เดือน หรือใช้เงินแค่ 40% ประสิทธิภาพในการใช้เงินลดลง โดยเฉพาะงบลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ 
 


การที่นายกฯ พยายามตีปี๊บว่าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และพยายามเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ถ้างบประมาณแผ่นดินกลายเป็นเป็ดง่อย จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างไร ซึ่ง หลังจากที่นายกฯ ให้กลับไปทบทวนงบ 67 มองว่าไม่มีอะไรใหม่ หลายเรื่องแย่กว่าเดิม 

ประเด็นที่ 1 ขาดดุลเหมือนเดิม และจะขาดดุลต่อไปตลอดอายุรัฐบาล 4 ปีเต็ม ตนไม่ได้มโนไปเอง แต่เพราะอยู่ในแผนการคลังของรัฐบาลชุดนี้ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติไว้ว่าจะทำงบประมาณขาดดุลไว้จนจบรัฐบาล

ประเด็นที่ 2 งบประมาณของรัฐบาลชุดนี้เพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนลงทุนการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยกว่าเดิม จาก 21.7% เหลือ 20.6% และพบว่าเม็ดเงินปี 67 ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 295,000 ล้านบาท ไปเพิ่มในส่วนของงบประจำ แล้วจะไปสนองการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร

ประเด็นที่ 3 งบกลาง ดูผิวเผินเหมือนลดลง แต่เป็นงบลวงตา เพราะงบกลางภาพรวมในปี 66 มี 18.5% แต่งบ 67 ลดเหลือ 17% เมื่อดูใส้ใน งบประมาณสำคัญ คือเงินสำรองจ่ายที่อยู่ในอำนาจของนายกฯ กลับเพิ่มขึ้น ดังนั้น แสดงให้เห็นว่า “ว่าแต่เขาอิเหนาทำหมด” ดังนั้น ขอให้นายกฯ ใช้เงินนี้ให้คุ้มค่า โปร่งใส 

ประเด็นที่ 4 งบประมาณฉบับนี้กลายเป็นเรื่องคิดใหญ่ทำเป็น แล้วกลับเป็น “คิดกู้ทำกู้” เพราะงบ 67 ของพลเอกประยุทธ์ที่ผ่านมา กู้ 5.93 แสนล้านบาท และรัฐบาลนี้เอาไปรื้อ กู้ใหม่ 6.93 แสนล้านบาท จึงตอกกลับว่า พวกท่านเคยวิจารณ์ว่าเป็นนักกู้ มาครั้งนี้เป็นนักกู้ถุงเท้าสีชมพู ที่กู้เพิ่มกว่าแสนล้านบาท

ส่วนที่นายกรัฐมนตรี บอกว่า จะไม่กู้เงินมาใช้ในโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท แต่กลับลำแบบ 360 องศา ที่กู้เงินมาแจกตอบสนองนโยบายหาเสียง นี่คือเสียงที่คนทั้งประเทศเป็นห่วง รัฐบาลกลัวว่าถ้าออกเป็นพระราชบัญญัติจะผิดกฎหมาย จึงไปถามกฤษฎีกาแต่ยังไม่ตอบกลับมา ทั้งนี้ หากกฤษฎีกาบอกว่าทำไม่ได้ ผิดกฎหมายหรือสุ่มเสี่ยง ขออย่าไปโยนบาปให้กฤษฎีกา เพราะกฤษฎีกาไม่ใช่เจ้าของนโยบายหาเสียง
 
นายจุรินทร์ ยังฟันธงว่า นายกฯ ไม่สามารถใช้หนี้เงินกู้ 500,000 ล้านบาท ในโครงการเงินดิจิตอลได้ ภายใน 4 ปี แต่เป็นเพียงวาทกรรมทางการเมือง พร้อมขอให้นายกฯ อยู่ครบวาระ ใช้หนี้ 4 ปี ให้หมด จะได้ไม่มีคำครหาว่ามีนายกฯ 2 คน

ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนเห็นด้วยว่า รัฐบาลควรทำเรื่องการเมืองควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน จะแยกส่วนไม่ได้ และเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 และขอสนับสนุนที่รัฐบาลประกาศนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วน แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นหนังคนละม้วน เพราะทันทีที่เข้า ครม. กับกลายเป็นการตั้งคณะกรรมการศึกษาแทน จากเร่งด่วนกลายเป็น 4 ปี จากหนังสั้นเป็นหนังยาว ซึ่งการทำประชามติต้องทำอย่างน้อย 3 ครั้ง แล้วงบอยู่ตรงไหน ตั้งไว้เท่าไหร่ หาไม่เจอ จึงขอให้สะท้อนความจริงใจตรงนี้ด้วย
 
สำหรับงบประมาณของกระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะงบที่ยกระดับควบคุมดูแลผู้ต้องขัง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ตามหลักสิทธิมนุษยชน โปร่งใส และไม่เลือกปฏิบัติ โดยสถานที่คือ ราชทัณฑ์และทัณฑสถาน ที่มีผู้ต้องขังกว่า 280,000 คน ตนจึงตั้งคำถามว่ารัฐบาลชุดนี้ ในฐานะที่เป็นผู้ใช้งบปี 66 และจัดทำงบปี 67 ได้ดำเนินการอย่างโปร่งใสหรือไม่ เลือกปฏิบัติกับผู้ต้องขัง กว่า 280,000 คนหรือไม่ เพราะมีข้อเคลือบแคลเกิดขึ้นในสังคม ว่าทำไมรัฐบาลปล่อยให้นักโทษบางคน เข้าคุกทิพย์มาแล้วกว่า 120 วัน แต่ยังไม่เคยติดคุกแม้แต่วันเดียว

ทำให้ นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส. สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงทันที ไม่คิดว่า นายจุรินทร์ ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรี จะอภิปรายเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมา ในการทำหน้าที่ ก็ล้มเหลวมาตลอด อีกทั้งยังเป็นเรื่องนอกประเด็น เป็นสไตล์เก่าๆ เหมือนเดิม ซึ่งตนไม่เห็นด้วย และรู้ว่ากำลังจะพูดถึงคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่โดนกลั่นแกล้งไปอยู่เมืองนอกมา 17 ปี แล้วกลับเข้ามา การที่ไปอยู่นอกเรือนจำ ก็มีใบอนุญาตจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ชัดเจน จึงขอให้ประธานในที่ประชุมสั่งให้นายจุรินทร์ถอนคำพูดด้วย 

ขณะที่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานการประชุม วินิจฉัยว่า นายจุรินทร์ยังอภิปรายอยู่ในประเด็น ซึ่งนายครูมานิตย์ก็ยังยืนยันว่า นายจุรินทร์อภิปรายถึงบุคคลที่อยู่นอกสภา
 
จากนั้น นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นประท้วงนายครูมานิตข์ ว่าประท้วงส่อเสียดนายจุรินทร์ ไม่คิดว่าสภาอันทรงเกียรติจะมีคำพูดจากสมาชิกผู้ทรงเกียรติแบบนี้ ส่วนตัวเคารพครูมานิตย์ จึงอยากให้ถอนคำพูด จนท้ายที่สุดประธานก็สั่งให้ครูมานิตย์ถอนคำพูด ทำให้บรรยากาศการประชุมดำเนินต่อ 

จากนั้น นายจุรินทร์ อภิปรายต่อว่า ตนไม่ประสงค์จะเอ่ยชื่อบุคคลใด ขอให้ประธานสบายใจได้ เพราะเคารพกติกาเสมอ คำถามก็คือ ทำไมนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้ร่วมรับผิดชอบบริหารโครงการ 3.8 หมื่นล้านบาท ไม่ทำข้อเคลือบแคลงสงสัยให้กระจ่าง โดยเฉพาะนายกฯ ทั้งที่ทุกวันนี้เห็นสั่งการได้ทุกเรื่อง กลายเป็นหลงจู๊ประเทศ แต่พอเรื่องคาใจทำไมไม่สั่ง หรือตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ เพื่อไขข้อสงสัยให้กับคนทั้งประเทศ  ซึ่งการใช้งบประมาณของกรมราชทัณฑ์ ที่ออกระเบียบ ว่าด้วยการดำเนินการคุมขัง ในสถานที่คุมขัง 2566 อ้างทำตามคำแนะนำของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และการใช้งบส่อไปในทางไม่ชอบหรือไม่ ทั้งนี้การออกระเบียบดังกล่าว เป็นระเบียบแบบศรีธนญชัย เพราะแทนที่จะแยกผู้ต้องขังออกจากนักโทษเด็ดขาด กลับกลายเป็นว่าไปแยกผู้ต้องขังเด็ดขาดออกเป็นสองมาตรฐาน โดยมาตรฐานที่ 1 ติดคุกที่เรือนจำ และมาตรฐานที่ 2 ติดคุกที่บ้านได้ ใช้เพียงอำนาจของคณะกรรมการ ไม่ใช่อำนาจศาล จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เลือกปฏิบัติ และคำพิพากษาของศาลไร้ความหมาย ศาลสถิตยุติธรรม พิพากษาจำคุก แต่กรมราชทัณฑ์สั่งให้นักโทษบางคนไปติดคุกที่บ้าน กลายเป็นนักโทษเทวดา
 

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.