'พิชัย'ชี้ไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดแนะรัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมือง พรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤศจิกายนติดลบที่ -0.44% เป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองติดกันหลังจากเงินเฟ้อในเดือนตุลาคมติดลบไปแล้วที่ -0.31 % และก่อนหน้านี้ที่อัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำมากมาตลอดก่อนหน้านี้ 5 เดือนจนมาติดลบต่ออีก 2 เดือน และยังมีแนวโน้มที่อัตราเงินเฟ้อในเดือนธันวาคมยังจะติดลบต่อเนื่องอีกเหมือนที่ได้เตือนแล้ว
การที่อัตราเงินเฟ้อของไทยติดลบในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐยังอยู่ที่ 3.2% และ ยุโรปยังอยู่ที่ 2.9% แสดงว่าไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดแล้ว ซึ่งหากบอกว่าการบริโภคในประเทศยังไปได้ดี อัตราเงินเฟ้อไทยจะต้องใกล้เคียงกับเงินเฟ้อประเทศอื่นไม่ใช่ติดลบ สวนทางกับอัตราเงินเฟ้อของโลก
ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเร่งออกนโยบายต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นโดยเร็ว เพราะหลังวิกฤตไวรัสโควิดผ่านมา 3 ปีแล้วเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นกลับสู่ที่เดิมในขณะที่ประเทศอื่นฟื้นไปไกลแล้ว อีกทั้งน่ากังวลว่าภาวะเงินฝืดนี้จะอยู่อีกนาน
ทั้งนี้ เมื่อมองตัวเลขทางเศรษฐกิจจะพบว่าหลังจากรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหาร แม้จะยังไม่นานนัก ทิศทางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการส่งออกที่ติดลบต่อเนื่องมาก่อนหน้านี้ 10 เดือนติดกันแต่หลังจากรัฐบาลใหม่เข้าบริหารการส่งออกเป็นบวกทันทีโดยการส่งออกเดือนกันยายนขยายตัว 2.1% และเดือนตุลาคมขยายตัวได้ถึง 8% ซึ่งช่วยให้การส่งออกของไทยในปี 66 นี้ ไม่ติดลบมากนัก ต้องให้เครดิดนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว. พาณิชย์ การท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเกิน 27 ล้านคน แม้จำนวนนักท่องเที่ยวยังไม่เท่ากับในอดีตก่อนวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด แต่ก็ฟื้นตัวในปริมาณที่น่าพอใจ การลงทุนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น บริษัทใหญ่ๆหลายบริษัทโดยเฉพาะบริษัทใหญ่ทางเทคโนโลยี มีความสนใจจะเข้ามาลงทุนในไทยกันมากขึ้นตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงทุนลงแรงเดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปชักชวนด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งแก้ไขหนี้นอกระบบเพื่อลดภาระให้กับประชาชน ขนาดเจ้าหนี้นอกระบบที่มีอิทธิพลต้องออกมาแสดงความเป็นนักเลงทำลายข้าวของลูกหนี้ที่มาแจ้ง รวมถึงการพักหนี้เกษตรกร โดยรัฐบาลจะเร่งการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนเพื่อให้สามารถใช้หนี้ได้ การลบประวัติอาชญากรให้กับประชาชนกว่า 9.3 ล้านคน การลดราคาพลังงานทั้งราคาน้ำมัน ราคาไฟฟ้า และ ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม และ ล่าสุดการแก้ปัญหาคอลเซนเตอร์ที่หลอกลวงประชาชน ทำให้ประชาชนสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก
โดยรัฐบาลได้ให้ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และ บริษัทผู้ให้บริการทางโทรคม ได้ร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าวเพื่อไม่ให้หลอกลวงประชาชนได้อีก โดยได้ออกมาตรการเข้มงวดเพื่อป้องกันและแก้ปัญหานี้
ล่าสุดจากการพูดคุยกับเหล่านักธุรกิจและสภาอุตสาหกรรมฯ ต่างเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจปี 67 ในภาพรวมของไทยยังมีทิศทางที่ไม่ดีเลย ทั้งปัจจัยภายในประเทศและปัจจัยภายนอกประเทศรุมเร้า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำมาเป็นระยะเวลายาวนาน ปีนี้ก็ยังคงแย่ น่าจะประมาณ 2% ไม่น่าจะขยายตัวได้ถึง 2.5% แน่ ปีหน้าก็ยังลูกผีลูกคน หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง เมื่อรวมหนี้นอกระบบน่าจะพุ่งเกิน 100% ของจีดีพี และยังต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืด ดัชนีหุ้นไทยทำนิวโลว์ในรอบ 3 ปี เงินทุนยังไหลออก ประกอบกับ คาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำ เศรษฐกิจจีนยังย่ำแย่ ยุโรปยังไม่ฟื้น ดอกเบี้ยสหรัฐก็ยังจะไม่ลดลงเร็วนัก จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานเศรษฐกิจทั้ง ธปท. สภาพัฒน์ ทีดีอาร์ไอ ได้ให้ความจริงแก่ประชาชน อย่าเคยชินกับการพูดเอาใจผู้มีอำนาจเดิมว่าทุกอย่างเป็นไปได้ดี เศรษฐกิจกำลังจะขยายตัวดีขึ้น ทั้งๆที่พูดแบบนี้มา 9 ปีแล้ว แต่ยังไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นสักที ต้องเลิกโกหกตัวเองแล้วร่วมกันหาทางแก้ไขเพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางเป็นประเทศรายได้สูงได้ในอนาคต เพราะถ้ายังเป็นแบบนี้ไม่มีทางเป็นประเทศรายได้สูงได้เลย ประเทศคู่แข่งจะแซงไปกันหมด
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.