ตำนานล่าแม่มด ความเชื่อผิด ๆ ที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมอันโหดร้าย
ในปัจจุบัน สิทธิของผู้หญิงในสังคมได้มีเพิ่มมากขึ้น จนสามารถมีอิสระในการทำสิ่งต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปในอดีต ผู้หญิงกลับถูกกดขี่เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการใช้ชีวิต หรือการที่ต้องอยู่ในสังคมชายเป็นใหญ่ ซึ่งก็สามารถเห็นได้จากหนังหรือละครย้อนยุค
และในช่วงยุคกลาง เป็นช่วงที่ผู้หญิงถูกเข่นฆ่าและทำร้ายจนบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก จากเหตุการณ์สุดโหดร้ายที่เรียกกันว่า “การล่าแม่มด”
การล่าแม่มดในครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เหตุการณ์เป็นยังไง และจะจบลงแบบไหน เรื่องราวนี้ให้ข้อคิดอะไรกับเราบ้าง เราไปอ่านพร้อม ๆ กันได้เลย!
ความเชื่อของคนยุคกลาง
ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องราวการล่าแม่มดแบบเต็มรูปแบบ เราคงจะเริ่มต้นพูดถึงความเชื่อของคนยุคกลางกันก่อน โดยยุคกลาง คือช่วง ค.ศ.1480-1750 ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนมีความเชื่อว่าเวทมนตร์คาถามีอยู่จริง จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ลมพายุ หรือแม้กระทั่งโรคระบาด โรคภัยไข้เจ็บ อะไรก็ตามที่หาคำตอบไม่ได้ ผู้คนก็จะตีว่าเกิดจากเวทมนตร์ทั้งหมด
และผู้คนยังเชื่ออีกว่า เมื่อมีเวทมนตร์แล้ว ก็ต้องมีผู้ที่นำเวทมนตร์ไปใช้ในทางที่ไม่ดี อย่างเช่น เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้น ไม่ว่าจากสาเหตุอะไรก็ตาม ผู้คนจะเชื่อว่าเกิดจากการถูกเวทมนตร์สาป เป็นต้น
นั่นจึงทำให้ผู้คนมีความเกรงกลัวต่อเวทมนตร์เป็นอย่างมาก ทั้งยังระแวงว่าภายในหมู่บ้านจะมีแม่มด หรือผู้ใช้เวทมนตร์อาศัยอยู่ และอาจจะทำร้ายพวกเขาได้ทุกเมื่อ ซึ่งนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงอย่าง “การล่าแม่มด”
การล่าแม่มดครั้งใหญ่ในยุโรป
การล่าแม่มดในยุคกลางเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในยุโรป ซึ่งมีการล่าแม่มดทั้งในประเทศ ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ตลอดจนเบลเยียม
แต่หนึ่งในเหตุการณ์ที่รุนแรงและเป็นที่จดจำที่สุด นั่นคือเหตุการณ์ “การไต่สวนคดีแม่มดแห่งซาเลม” เป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 300 ปีที่แล้ว หรือช่วงปี 1692-1693 ณ เมืองซาเลม รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเมืองซาเลมก่อตั้งโดยกลุ่มผู้อพยพชาวพิวริแตนอังกฤษ พวกเขาปกครองกันเอง โดยมีโบสถ์เป็นศูนย์กลาง และดำเนินชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อเวทมนตร์
เหตุการณ์ความโหดร้ายเริ่มขึ้นเมื่อ เบตตี แพร์ริส เด็กสาวในหมู่บ้านเริ่มมีอาการชัก ส่งเสียงกรีดร้อง โวยวายว่าถูกเข็มแทง และเจ็บตามร่างกาย ตามมาด้วย อาบิเกล วิลเลียมส์ และแอน พัตแนม เด็กสาวอีกสองคน
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้บาทหลวง และหมอต่างพากันวิตกกังวล และด้วยความที่ผู้คนในสมัยนั้นยังมีความรู้ความเข้าใจด้านชีววิทยา การแพทย์ และจิตวิทยาไม่เพียงพอ จึงสรุปว่าเด็กทั้ง 3 นั้นโดนคำสาปของ “แม่มด”
ปฏิบัติการล่าแม่มดจึงเริ่มต้นขึ้น โดยให้เด็กทั้งสามชี้ตัวผู้ต้องสงสัย อีกทั้งบาทหลวงยังบีบบังคับให้กล่าวหาผู้หญิงที่เข้ากับคนสังคมไม่ค่อยได้ เริ่มจาก “ซาราห์ กู้ด” ขอทานหญิงเร่ร่อน “ซาราห์ ออสเบิร์น” หญิงชราที่ป่วยจนไม่ค่อยไปโบสถ์ และ “ทิทูบา” ทาสหญิงผิวดำจากบาร์เบโดส ซึ่งถูกกล่าวหาว่าสอนวิชาแม่มด และใช้มนตร์ดำ
จากการชี้นำของบาทหลวง ทำให้เด็ก ๆ เริ่มไล่ชื่อหญิงสาวในเมืองมาทีละคน ทางด้านเจ้าหน้าที่สอบสวนก็จะเริ่มไปเยือนบ้านทีละหลัง ชาวเมืองต่างก็เกิดความหวาดกลัว และระแวงซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างพากันชี้ตัวแม่มดเพื่อให้ตนเองพ้นความผิด
ท้ายที่สุดผู้คนก็ใช้การล่าแม่มดเป็นเครื่องมือในการกล่าวหา และกำจัดคนที่แตกต่างจากพวกตน คนเร่ร่อน ไปจนถึงคนที่เกลียดกันเอง สรุปทั้งสิ้นมีผู้ถูกจับข้อหาเป็นแม่มดทั้งหมดกว่าร้อยคน มีทั้งผู้หญิง และชายที่พวกเขาคิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่ละเว้น
มีการตั้งศาลพิเศษขึ้นมาไว้สำหรับการไต่สวนในครั้งนี้โดยเฉพาะ โดยนำกฎหมายของอังกฤษที่บังคับใช้ในอาณานิคมนิวอิงแลนด์ บัญญัติให้การเป็นแม่มดเป็นความผิดร้ายแรงถึงประหารด้วยการแขวนคอ
โดยการพิจารณาคดีดำเนินไปในลักษณะที่ใครยอมรับสารภาพ และซัดทอดไปถึงคนอื่นว่าเป็นแม่มด ก็จะได้รับโทษเพียงเล็กน้อย และถูกปล่อยตัวไป ส่วนใครที่ต้องการยืนยันตนว่าบริสุทธิ์ ไม่ซัดทอดคนอื่น แต่ไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ตัวเองได้นั้นก็จะถูกทรมานอย่างหนัก
การทรมานมีทั้งการรัดคอเหยื่อ จนกระทั่งเหยื่อเริ่มเลือดออกจากจมูก หรือแม้แต่การจับคนมานอน ก่อนจะวางก้อนหินทับบนอกเรื่อย ๆ หรือที่เป็นภาพจำที่ชัดเจนที่สุดก็คือการ “เผาทั้งเป็น” รวมทั้งหมด 19 คนที่ถูกตัดสินว่าเป็นแม่มด และประหารชีวิตโดยตัวไปแขวนคอที่เนินเขาแกลโลว์สฮิลล์ มีผู้ถูกคุมขัง 5 คน รวมทั้งเด็กทารกหนึ่งคนเสียชีวิตลงในคุก ยังไม่รวมผู้ที่ถูกทรมานจนตายอีกหลายชีวิต
เรื่องราวความโหดร้ายดำเนินไปจนผู้ว่าการรัฐ วิลเลียม ฟิปส์ ทราบข่าว เขาจึงสั่งระงับศาลพิเศษ และตั้งศาลสูงสุดแห่งใหม่ขึ้นมาแทน ทั้งยังห้ามไม่ให้นำหลักฐานที่เรียกว่า หลักฐานความฝันและนิมิตมาใช้ กระทั่งเดือนพฤษภาคม ปี 1693 ผู้ถูกไต่สวนทุกคนได้รับการตัดสินว่าไม่มีความผิด และถูกปล่อยตัวไป จนสิ้นเดือนมีนาคม ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดก็ไม่มีใครถูกคุมขังแล้ว การไต่สวนล่าแม่มดแห่งซาเลมจึงปิดฉากลงในที่สุด
สิทธิที่ถูกจำกัด
จากเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าว จะเห็นได้ว่าผู้หญิงในอดีต ถูกจำกัดสิทธิต่าง ๆ เพียงเพราะพวกเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด หากใครที่แตกต่างจากคนอื่นก็จะโดนชี้ทันทีว่าเป็นแม่มดทันที โดยเฉพาะผู้หญิงจะโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เพราะตามความเชื่อผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ และถูกชักจูงได้ง่าย จึงทำให้ผู้หญิงมักจะโดนกล่าวโทษอยู่บ่อยครั้ง
เช่น ผู้หญิงหม้ายที่ไม่มีใครคุ้มครอง คนแก่ คนหน้าตาอัปลักษณ์ หรือแม้กระทั่งผู้หญิงที่สวยเกินไปก็โดน เพราะพวกเขาเชื่อว่าเธอนำดวงวิญญาณไปขายให้ซาตานเพื่อแลกกับรูปร่างอันงดงามนั่นเอง
คดีแม่มดจำนวนมากสะท้อนภาพถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้หญิง โดยโจทก์ที่เป็นผู้ชายมักอ้างว่าตนถูกคำสาปชั่วร้ายของแม่มด ทั้งที่อาจเป็นเพียงการพูด ติติง หรือการวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาของผู้หญิงที่ตกเป็นจำเลยเท่านั้น
ผู้หญิงที่เป็นภรรยาของชาวนาหรือกรรมกรมักได้รับการปรนนิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อพวกเธอเลือกที่จะลุกขึ้นสู้ หรือออกมาเปิดเผยความไม่เป็นธรรมเหล่านั้นอาจทำให้ผู้เป็นสามีอับอายขายหน้า หนทางในการปิดปากพวกเธอก็คือ การทำให้คนอื่นเห็นว่าคำพูดเหล่านั้นล้วนมาจากปีศาจร้ายนั่นเอง
ความเป็นจริง
เมื่อวิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้ามากขึ้น และสามารถตอบคำถามให้กับคนยุคนั้นได้ทุกอย่าง สิ่งที่พวกเขาเคยเชื่อกันว่าสิ่งนี้เกิดจากแม่มด วิทยาศาสตร์จึงเป็นเครื่องยืนยันความบริสุทธิ์ให้กับคนยุคนั้นได้ ประกอบกับศาสนาช่วงนั้นศาสนาคริสต์ก็เริ่มแตกนิกายต่าง ๆ ออกมา ผู้คนเริ่มไม่เชื่อศูนย์กลางอำนาจและเริ่มออกมาปกป้องคนที่โดนกล่าวหาแล้วถามหาหลักฐานต่าง ๆ ในการเป็นแม่มด
ทำให้ผู้คนเริ่มต่อต้านการล่าแม่มดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนการล่าแม่มดนั้นค่อย ๆ ลดลง แล้วหายไปหมดในที่สุด
ต่อมาในปี 1693 ได้มีการรื้อฟื้น และแก้ต่างให้ผู้ถูกกล่าวหาในคดีแม่มดซาเลม จนปี 1706 “แอน พัตแนม” หนึ่งในสามของเด็กหญิงที่กล่าวหาผู้คนมากมายตั้งแต่ต้น ก็ยอมรับสารภาพว่าตนเองโกหก และเป็นพยานเท็จ โดยอ้างว่าทั้งหมดเป็นการล่อลวงจากซาตาน
ปี 1711 รัฐบาลแมสซาชูเซตส์ก็ผ่านกฎหมายนิรโทษกรรม และยกเลิกผลของการดำเนินคดีไต่สวนแม่มดที่เคยเกิดขึ้นในปี 1692 สภานิติบัญญัติจึงผ่านรัฐบัญญัติให้ลบล้างมลทินผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดและได้รับโทษประหาร อีกทั้งจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกหลานของคนเหล่านั้นทั้งหมด
ปัจจุบันนี้ เมืองซาเลมกลับขึ้นมามีชีวิตชีวา เป็นแหล่งศูนย์รวมของผู้ที่ชื่นชอบเรื่องไสยศาสตร์ลี้ลับ เวทมนตร์ต่าง ๆ กลายเป็นว่าเมืองที่เคยล่าแม่มดในอดีตนั้นกลับเฟื่องฟูกลายเป็นเมืองแม่มดจริง ๆ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะที่สุสานของเมือง ซึ่งมีอนุสรณ์สถาน การล่าแม่มดแห่งปี 1692 เป็นลานหญ้าปลูกต้นไม้ 19 ต้น แทนผู้ที่ถูกประหารด้วยการแขวนคออยู่ข้างสุสาน
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.