นิทรรศการ Sinking and the Paradox of Staying Afloat โดย 7 ศิลปิน
สิ่งแวดล้อมและมนุษย์ต่างก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แม้ว่าจะมีความพยายามอย่างจริงจังและน่าชื่นชมในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ แต่ความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง และมนุษย์เองก็จำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว
นิทรรศการ "Sinking and the Paradox of Staying Afloat" ถือกำเนิดขึ้นจากแรงผลักดันในการดำรงชีวิตอยู่ ชื่อของนิทรรศการนี้กระตุ้นให้เกิดการขบคิด โดยชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งที่เราต้องเผชิญในแต่ละวัน นั่นคือ สภาวะที่ย้อนแย้งระหว่างการอนุรักษ์ และการทำลายธรรมชาติไปพร้อมๆ กัน ในขณะที่สื่อถึงกระบวนการจมดิ่งลงสู่ความเสื่อมโทรม คำว่า "Sinking" ในชื่อนิทรรศการไม่ได้หมายถึงเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อระดับน้ำทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความรู้สึกอึดอัดในสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลงของเราด้วย ซึ่งเปรียบเสมือนการสิ้นชีวิตของตัวเราเอง ในทางตรงกันข้าม คำว่า "Staying Afloat" แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัว และรักษาสมดุลท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างความตายและการเอาชีวิตรอด จึงเกิดเป็นปริศนาขึ้น เราจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับการทำลายล้างได้หรือไม่? เราจะรอช้าไปอีกนานเท่าใดกว่าจะสายเกินไป?
เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ กรอบแนวคิดของนิทรรศการ "Sinking and the Paradox of Staying Afloat" มุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญสองประการ ได้แก่ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อน้ำ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต และความจำเป็นที่จะต้องหวนคืนสู่ภูมิปัญญาดั้งเดิมในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ พร้อมๆ กับการตระหนักว่าเรากำลังสร้างธรรมชาติเทียมที่ทำร้ายตัวเราเองเพื่อโต้ตอบกับความรุนแรงที่เรากำลังก่อขึ้น
ในมิติทางภูมิศาสตร์ นิทรรศการ "Sinking and the Paradox of Staying Afloat" มุ่งเน้นไปที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น การละลายของน้ำแข็งในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนส่งผลกระทบต่อมหาสมุทรและแหล่งน้ำ รวมถึงแม่น้ำสายสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับประเทศไทย แม่น้ำโขงและสาขาแม่น้ำมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความยั่งยืนในอนาคตของประเทศ แต่รูปแบบระดับน้ำและฤดูกาลที่แปรปรวนมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อความหลากหลายทางชีวภาพและมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลัก ต้องการน้ำในปริมาณที่คาดการณ์ได้เพื่อการเจริญเติบโต ความไม่สมดุลของน้ำจะส่งผลต่อการคงอยู่ของข้าวและพืชผลอื่นๆ เนื่องจากปริมาณน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำเพิ่มสูงขึ้น เมืองใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น กรุงเทพมหานครและพระนครศรีอยุธยา ประสบกับเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เมืองและบังคับให้ผู้คนต้องดำเนินชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างไป ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งสภาพอากาศที่รุนแรง ส่งผลต่อพืชพรรณและวงจรการเจริญเติบโต ปัญหาสุขภาพ คุณภาพชีวิตที่ตกต่ำ และความมุ่งมั่นในการรีไซเคิลเพื่อเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่ยั่งยืน กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ศิลปินที่ร่วมแสดงผลงานไม่เพียงแต่เป็นผู้สังเกตการณ์สภาพแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นนักมานุษยวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ และผู้ประกอบพิธีกรรมที่มีปฏิสัมพันธ์กับองค์ประกอบที่มีชีวิต ผลงานของพวกเขาที่หลากหลาย ตั้งแต่วิดีโอและสื่อผสม จิตรกรรมและประติมากรรมที่สร้างสรรค์จากวัสดุรีไซเคิล ไปจนถึงการจัดวางที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น ล้วนอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อกระตุ้นเตือนให้เราตระหนักถึงความรับผิดชอบส่วนบุคคลที่มีต่อโลกใบนี้
ศิลปินทั้ง 7 ท่านคือ
อังกฤษ อัจฉริยโสภณ
ต่อลาภ ลาภเจริญสุข
LE Brothers และ Gemini Kim
Khvay Samnang
เจษฎา ตั้งตระกูลวงศ์
เพลินจันทร์ วิญญรัตน์
คิวเรทโดย Loredana Pazzini-Paracciani
สามารถชมภาพเพิ่มเติมนิทรรศการได้ที่: https://photos.app.goo.gl/XBFfHbLmVG1CbdJH9
เปิดนิทรรศการในวันที่ 5 ตุลาคม 2567 เวลา 18.00 น.
นิทรรศการแสดงตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2567 ที่ 333Gallery / warehouse 30
แกลลอรี่เปิดวันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 11.00 น. – 18.00 น. (ปิดวันจันทร์)
มีที่จอดรถจำนวนจำกัดและมีค่าที่จอดรถ (สามารถแสตมป์บัตรจอดรถได้)
Official line: @ 333gallery
Social Media: 333GalleryGroup
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.