"กาแฟคั่วอ่อน" กับ "กาแฟคั่วเข้ม" แบบไหนดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน

เมื่อพูดถึงกาแฟ คนส่วนใหญ่มักมีเครื่องดื่มประจำตัว สำหรับบางคนอาจเป็นกาแฟเย็นหรือกาแฟปั่น ในขณะที่คนอื่น ๆ ชอบเครื่องดื่มเอสเปรสโซร้อน อเมริกาโน่ สำหรับบางคนมันง่ายที่จะเลือกกาแฟคั่วเข้ม กาแฟคั่วอ่อน คุณอาจเคยได้ยินคนพูดถึงความแตกต่างระหว่างกาแฟคั่วอ่อนและคั่วเข้ม และคุณอาจมีกาแฟคั่วโปรดของคุณอยู่แล้ว แต่คุณอาจสงสัยเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างทั้งสอง บทความนี้เปรียบเทียบกาแฟคั่วอ่อนและคั่วเข้มโดยเน้นความแตกต่างในปริมาณคาเฟอีน ประโยชน์ต่อสุขภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย

การคั่วกาแฟคืออะไร

ก่อนที่เราจะได้ลิ้มรสกาแฟหอมกรุ่นในยามเช้า เมล็ดกาแฟที่เราคุ้นเคยนั้นจริงๆ แล้วเป็นเพียงผลไม้สีเขียวของต้นกาแฟเท่านั้น แทบไม่มีกลิ่นหรือรสชาติใกล้เคียงกับเครื่องดื่มแก้วโปรดของเรานี้เลย กระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟสีเขียวนี้เอง ที่ชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ฟิสิกส์ และประสาทสัมผัสมากมายภายในเมล็ด จนกลายเป็นกาแฟที่มีสี กลิ่น และรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์

โดยทั่วไปเมล็ดกาแฟจะถูกคั่วในถังหมุนขนาดใหญ่ ที่ใช้ความร้อนเป็นเวลา 5–15 นาที ก่อนที่จะนำไปทำให้เย็นและบรรจุลงแพ็คเกจ แม้จะฟังดูเป็นกระบวนการง่ายๆ แต่เพียงแค่การปรับเปลี่ยนเวลาและอุณหภูมิในการคั่วเพียงเล็กน้อย ก็ส่งผลต่อรสชาติของกาแฟสำเร็จรูปได้อย่างมาก

ระดับการคั่ว:

  • คั่วอ่อน: มักใช้ความร้อน 177°C–204°C เป็นเวลาประมาณ 10 นาที หรือต่ำกว่า เมล็ดกาแฟจะมีสีอ่อน รสชาติเข้มข้น มีกรดสูง
  • คั่วกลาง: อยู่ระหว่างคั่วอ่อนกับคั่วเข้ม
  • คั่วเข้ม: ใช้ความร้อนสูงกว่า 204°C เป็นเวลาประมาณ 15 นาที เมล็ดกาแฟจะมีสีเข้ม รสชาติเข้มข้น มีกรดต่ำ

โดยสรุปแล้ว ยิ่งคั่วอ่อน อุณหภูมิที่ใช้คั่วน้อยและใช้เวลาน้อย เมล็ดกาแฟจะมีความหนาแน่น ชุ่มชื้น เมื่อคั่ว เมล็ดกาแฟจะสูญเสียน้ำ ทำให้เมล็ดคั่วเข้มมักมีลักษณะเบาและพองฟู ในขณะที่เมล็ดคั่วอ่อนมีความหนาแน่น ชุ่มชื้น นอกจากนี้ การคั่วยังทำให้มีน้ำมันธรรมชาติออกมาเคลือบผิวเมล็ด ทำให้กาแฟคั่วเข้มมักจะมีผิวมันวาว

กาแฟคั่วอ่อนหรือเข้ม มีคาเฟอีนมากกว่ากัน?

หลายคนเริ่มต้นเช้าด้วยกาแฟสักแก้ว หรือใช้เวลาพักเติมพลังด้วยกาแฟสักช็อต นั่นเป็นเพราะคาเฟอีนในกาแฟช่วยกระตุ้นสมองและปล่อยสารสื่อประสาทที่ทำให้เรารู้สึกตื่นตัวขึ้น คำถามที่หลายคนสงสัยคือ กาแฟคั่วอ่อนและคั่วเข้ม มีปริมาณคาเฟอีนต่างกันหรือไม่?

ความจริงมีการเข้าใจผิดเกี่ยวกับระดับการคั่วและปริมาณคาเฟอีน บางคนคิดว่ายิ่งคั่วเข้ม ยิ่งมีคาเฟอีนมาก ในขณะที่บางคนเชื่อว่าการคั่วทำให้คาเฟอีนสูญหายไป ทำให้กาแฟคั่วอ่อนมีคาเฟอีนมากกว่า

แม้ว่ากาแฟคั่วเข้มจะมีคาเฟอีนน้อยกว่าเล็กน้อยหลังการคั่ว แต่ผลการศึกษา ทั้งเก่าและใหม่ พบว่าความแตกต่างนี้น้อยมาก สาเหตุที่ความแตกต่างน้อย คือ การวัดกาแฟตามน้ำหนัก แทนที่จะวัดตามปริมาตร เนื่องจากเมล็ดกาแฟคั่วเข้มจะพองขึ้นและขยายตัวเมื่อถูกความร้อน การวัดตามน้ำหนักจึงแม่นยำกว่าการวัดตามปริมาตร เช่น ช้อนชาหรือช้อนโต๊ะ

ตัวอย่างเช่น มีการศึกษาพบว่า กาแฟคั่วอ่อน 1 ถ้วย (237 มล.) มีคาเฟอีนประมาณ 60 มก. ในขณะที่กาแฟคั่วเข้มปริมาณเท่ากันมีคาเฟอีน 51 มก. แต่ความแตกต่างนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับล็อตของเมล็ดกาแฟ

โดยเฉลี่ยแล้ว กาแฟ 1 แก้วมีคาเฟอีนประมาณ 100 มก. ปริมาณคาเฟอีนอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระดับการคั่ว ชนิดของเมล็ดกาแฟ และวิธีการชง แต่โดยทั่วไปแล้ว ความแตกต่างจะไม่มากนัก

นอกจากคาเฟอีนแล้ว รสชาติก็เป็นปัจจัยสำคัญที่คนเลือกกาแฟคั่วอ่อนหรือเข้ม

นอกจากปริมาณคาเฟอีนแล้ว เรื่องของรสชาติก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่หลายคนเลือกกาแฟคั่วอ่อนหรือคั่วเข้ม โดยทั่วไปแล้วกาแฟคั่วอ่อนจะมีรสชาติที่ละเอียดซับซ้อนกว่า แต่ก็เบาบางกว่ากาแฟคั่วเข้ม เนื่องจากกระบวนการคั่วทำให้กลิ่นและรสชาติบางส่วนของเมล็ดกาแฟเปลี่ยนไปหรือสูญหายไป ทำให้กาแฟคั่วเข้มมีรสชาติเข้มข้น แต่ไม่ซับซ้อน

นอกจากนี้กาแฟคั่วอ่อนยังมีเนื้อสัมผัสที่บางเบากว่ากาแฟคั่วเข้ม น้ำมันธรรมชาติในเมล็ดกาแฟคั่วเข้มจะเพิ่มความหนืดของกาแฟ ทำให้รู้สึกหนาขึ้นในปากเมื่อดื่ม

กาแฟคั่วอ่อนมักมีรสชาติและกลิ่นแบบนี้

  • สดใส
  • สดชื่น
  • เปรี้ยว
  • หอมผลไม้
  • หอมดอกไม้
  • หอมสมุนไพร

กาแฟคั่วเข้มมักมีรสชาติและกลิ่นแบบนี้

  • เข้มข้น
  • หอม
  • หอมควัน
  • หอมช็อกโกแลต
  • หอมขนมปังปิ้ง
  • หอมถั่ว

บางคนอาจรู้สึกว่ากาแฟคั่วเข้มมีรสขมกว่ากาแฟคั่วอ่อน แต่ความจริงแล้ว ความขมของกาแฟนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ระดับการคั่วเท่านั้น อาทิ ระยะเวลาการชง อัตราส่วนกาแฟต่อน้ำ อุณหภูมิของน้ำที่ใช้ และขนาดผงของเมล็ดกาแฟ

นอกจากนี้ แหล่งปลูกกาแฟ สายพันธุ์ของต้นกาแฟ และเทคนิคการแปรรูปเมล็ดกาแฟ ล้วนส่งผลต่อรสชาติของกาแฟด้วย

สำหรับคนที่ต้องการดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟอย่างแท้จริง มักแนะนำให้เลือกกาแฟคั่วอ่อนสำหรับกาแฟดริปหรือกาแฟเท (pour-over) ในขณะที่กาแฟคั่วเข้มเหมาะสำหรับกาแฟเอสเพรสโซ่ เครื่องดื่มผสมนม หรือผสมครีม

ลองใช้กาแฟคั่วระดับต่างๆ เพื่อชงกาแฟประเภทต่างๆ ดู คุณอาจจะได้พบกับกาแฟแก้วโปรดใหม่ของคุณ

กาแฟคั่วอ่อนหรือเข้ม สุขภาพดีกว่ากัน?

การวิจัยเชื่อมโยงการดื่มกาแฟปริมาณพอประมาณ (ประมาณ 3 แก้ว หรือประมาณ 710 มล. ต่อวัน) กับการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ช่วยลดการอักเสบ และผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยจำนวนมากเหล่านี้เป็นการวิจัยเชิงสังเกตการณ์ ซึ่งบางครั้งอาจให้ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการทดลองแบบสุ่มตัวอย่างในมนุษย์เพิ่มเติม เพื่อยืนยันประโยชน์ต่อสุขภาพของกาแฟ

จำไว้ว่า ประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่างของกาแฟขึ้นอยู่กับปริมาณครีมและน้ำตาลที่ผสมลงไปด้วย

ถึงกระนั้น ก็ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ากาแฟมีสารอาหารที่สำคัญ เช่น กรดคลอโรเจนิก โพลีฟีนอล ซึ่งอาจช่วยลดน้ำหนัก

งานวิจัยเก่าๆ ชี้ให้เห็นว่ากาแฟยังมีเมลานอยด์ ซึ่งอาจมีประโยชน์หลากหลาย เช่น ลดการอักเสบ และมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

แม้ว่ากาแฟคั่วอ่อนและคั่วเข้มต่างก็มีสารต้านอนุมูลอิสระและโพลีฟีนอล แต่กาแฟคั่วอ่อนอาจมีสารอาหารเหล่านี้มากกว่า เนื่องจากกาแฟคั่วเข้มสูญเสียสารเคมีจากพืชไปบ้างระหว่างกระบวนการคั่ว

ในทางกลับกัน งานวิจัยบางชิ้นพบว่ากาแฟคั่วเข้มมีอะคริลาไมด์ (acrylamide) ต่ำกว่า ซึ่งเป็นสารเคมีที่บางครั้งก่อตัวขึ้นในอาหารที่ถูกความร้อนสูง อะคริลาไมด์เชื่อมโยงกับความเสี่ยงของโรคมะเร็งที่เพิ่มขึ้น

สรุป

ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่ากาแฟคั่วอ่อนหรือเข้มดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน การดื่มกาแฟปริมาณพอดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่การใส่น้ำตาลและครีมมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ควรเลือกกาแฟตามความชอบและดื่มอย่างพอประมาณ

  • "กาแฟดริป" แตกต่างจาก "กาแฟทั่วไป" อย่างไร
  • "กาแฟดำ" ยิ่งกิน ยิ่งหน้าแก่ จริงไหม?
  • "กาแฟดำ" กับ "อเมริกาโน่" ต่างกันอย่างไร

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.