ก้าวแรกสู่เจ้าของ "ปิศาจแดง" เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ เทคโอเวอร์ แมนยู 25%

พรีเมียร์ลีก ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ได้รับการอนุมัติจากบอร์ด พรีเมียร์ลีกข้อตกลงเข้าซื้อหุ้นสโมสรแมนฯยูไนเต็ด 25 เปอร์เซ็นต์ แล้วเมื่อวันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เหลือขั้นตอนสุดท้าย คือการอนุมัติจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ กระบวนการซื้อหุ้นทีมปีศาจแดงจะลุล่วงสมบูรณ์ 

พรีเมียร์ลีก ระบุต่อว่านี่เป็นการเข้าซื้อกิจการครั้งแรกที่ได้รับการตรวจสอบและอนุมัติโดยคณะกรรมการกำกับดูแลอิสระชุดใหม่

ทั้งนี้ นอกจากการเข้าซื้อหุ้นสโมสรแล้ว เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ ยังเตรียมใช้เงินอีก 237 ล้านปอนด์ กับการปรับปรุงสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด และโครงสร้างพื้นฐานของสโมสร รวมทั้งจะเข้ามาดูแลบริหารงานด้านฟุตบอลทั้งหมดของทีมอีกด้วย 
 

เป้าหมายแรกคือ  ผอ. กีฬา (Sporting Director) 
นี่คือจุดอ่อนที่ทีมปิศาจแดงเป็นมานานตั้งแต่หมดยุคเดวิด กิลล์ และการรีไทร์ไปของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเมื่อปี 2014 หรือ 10 ปีที่แล้ว ทำให้การซื้อ-ขายนักฟุตบอลของทีมแมนยู ประสบปัญหาขาดทุนมาตลอด ทั้งซื้อแพงแล้วใช้งานไม่คุ้ม ค่าเหนื่อยโอเวอร์เรต จ่ายแพงเกินจริง นักเตะบางคนขายไปไม่ได้ราคา 

รายงานของเดวิด ออร์สตีน นักข่าวเทียร์ 1 จาก The Athletic เผยว่าแมนฯยูไนเต็ด อยากได้ตัวแดน แอชเวิร์ธ ผอ.กีฬาของทีม  นิวคาสเซิล แต่ติดปัญหาที่ นิวคาสเซิล เพิ่งจ่ายค่าชดเชยให้ ไบรท์ตัน (เพราะดึงตัวงมาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว)  หากแมนยูอยากได้พวกเขาก็ต้องจ่ายค่าชดเชยไป 5 ล้านปอนด์

อีกทั้งยังมีเงื่อนไข Gardening Leave (ห้ามบุคลากรเดิมรับงานใดๆ หลังจากออกจากงาน ตามระยะเวลาที่กำหนด)ข้อมูลระบุว่า กว่า แอชเวิร์ธ จะมาทำงานที่ยูไนเต็ดได้ ก็ต้องรอถึงปี 2025 

ผลงานของแดน แอชเวิร์ธ เขาคือมือต้นๆในการวางโครงสร้างตั้งแต่ระดับเยาวชนไปถึงทีมชุดใหญ่ ผลงานจากไบรท์ตันคือข้อพิสูจน์และปัจจุบันกับนิวคาสเซิล ต่อให้แมนยูอยากได้จริงพวกเขาห็ไม่สามารถใช่้งาน แอชเวิร์ธได้จนถึงปี 2025 

ดังนั้นมีทางเลือกอีกทางคือจอห์น เมอร์เท่อห์ ต่อไปจนถึงต้นปีหน้า หรือไม่ก็ดึงผอ.กีฬาคนอื่นเข้ามา พอล มิทเชลล์ อดีตผอ. กีฬา โมนาโก , อันเดรีย แบร์ต้า ผอ. กีฬาของแอตฯ มาดริด รวมถึง ยูเลี่ยน วอร์ด อดีตผอ.กีฬา ลิเวอร์พูล

เพราะตำแหน่งนี้มีความสำคัญ ผอ.กีฬาคือคนกำหนดโครงสร้าง กำหนดสไตล์การเล่น และการเลือกผู้จัดการทีมที่เหมาะกับสไตล์นั้นๆ และยังรวมถึงเรื่องสัญญานักเตะด้วย
 

เมกะโปรเจกต์เพิ่มความจุสนามเฉียดแสนคน

เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ เปิดเมกะโปรเจกต์ออกมาแล้วโดยมีแผนเพิ่มความจุสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด เป็นเก้าหมื่นที่นั่งหมายให้ยิ่งใหญ่ในระดับเดียวกับ นิว เวมบลีย์ 

รายงานเผยว่า เซอร์จิม ต้องการเนรมิตความจุผู้ชมของ โรงละครแห่งความฝัน เพิ่มขึ้นเป็นเก้าหมื่นที่นั่งให้เปรียบได้กับสนาม เวมบลีย์ แห่งภาคเหนือของประเทศ หากแต่ยังอยู่ในช่วงขบคิดว่าจะปรับปรุงสังเวียนแข้งปัจจุบันของทีม หรือว่าจะทุบทิ้งเพื่อสร้างสนามแห่งใหม่ขึ้นมา

ทั้งนี้เดลี่ เมล ได้อ้างถึงแหล่งข่าวด้วยว่า เซอร์ แรตคลิฟฟ์ ซึ่งเป็นแฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด มีแผนดังกล่าวอยู่ในใจมาตั้งแต่ช่วงที่เขาขอซื้อหุ้นของสโมสรปลายปีก่อนแล้ว

"จิม เป็นคนที่คิดไวทำไว เขามีอายุ 71 ปี และต้องการใช้โอกาสนี้สร้างโปรเจกต์ยักษ์" แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับมหาเศรษฐีคนดังเผย

อย่างไรก็ดี มีการแจกแจงว่าถึงขณะนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคิดไม่ตกว่าจะปรับปรุงสนามด้วยการเพิ่มความจุจาก 74,000 ที่นั่งเป็น 90,000 ที่นั่งซึ่งจะใช้งบประมาณ 800 ล้านปอนด์ (ราว 36,000 ล้านบาท) หรือว่าจะสร้างสนามใหม่ขึ้นมาโดยจะต้องใช้เงินสูงถึง 1-2 พันล้านปอนด์ (ราว 45000-90,000 ล้านบาท)

ทั้งนี้ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ถูกใช้งานมาตั้งแต่ปี 1910 และผ่านการปรับปรุงมาหลายครั้ง แต่ความทันสมัยตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกเทียบกับสนามแห่งใหม่ของสโมสรต่างๆใน พรีเมียร์ลีก ไม่ได้จนทำให้ เธียเตอร์ ออฟ ดรีม ไม่ถูกรัฐบาลเลือกให้เป็นหนึ่งในสังเวียนแข้งรองรับศึก ยูโร 2028 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพร่วมกับไอร์แลนด์

ก้าวแรกสู่การเป็นเจ้าของ "ปิศาจแดง" เต็มตัว

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า เซอร์ จิม แรตช์คลิฟฟ์ มหาเศรษฐีจากธุกิจปิโตรเคมีที่เขาทำในปัจจุบัน นั้นคือแฟนบอลปิศาจแดงชนิดเดนตาย เจ้าตัวเชียร์แมนยูมาตั้งแต่จำความได้และมีความพยายามจะซื้อหุ้นแบบเบ็ดเสร็จจากตระกูลเกลเซอร์มานานแล้ว

แต่เมื่อกลุ่มเกลเซอร์ยังมองว่า "แมนยู" ยังคงเป็นบ่อเงินบ่อทองของพวกเขาและยังไม่ต้องการขายทีมออกไป เซอร์จิม จึงใช้วิธีกองทัพมด ซื้อหุ้นมา 25 % และอาสาเป็นคนบริหารจัดการเรื่องฟุตบอลทั้งหมด (เรื่องนี้เกลเซอร์ไม่ถนัดและโดนแฟนบอลแมนยูด่าทุกวัน) 

การขอซื้อหุ้นจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ของ"เซอร์จิม"นั้นเป็นแค่ ‘จุดเริ่มต้น’ เท่านั้น เขาแผนที่จะซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดในระยะยาว เพียงแต่ช่วงแรกต้องเป็นแบบนี้ไปก่อน แล้วจากนั้นค่อยไล่ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ  โดยเฉพาะในกลุ่มที่ถือหุ้นประเภท Class A ที่เป็นของผู้ถือหุ้นทั่วไปที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NASDAQ) ในขณะที่เกลเซอร์ถือหุ้นในประเภท Calss B (คลาส B คือหุ้นไม่สามัญ มีสิทธิ์โหวต) โดยครอบครัวเกลเซอร์ที่ถืออยู่ราว 67 %  

ซึ่งหากอนาคตกลุ่มเกลเซอร์ต้องการขายหุ้นทั้งหมด เซอร์จิม จะเป็นคนแรกที่ได้สิทธิ์ในการซื้อ และนี่คือการเดินหน้าก้าวแรกของการดึงสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมที่มีมูลค่าการตลาดมากที่สุดในโลกทีมหนึ่งของเซอร์จิม แรตช์คลิฟฟ์ 


 

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.