หน่วยงานยูเอ็นเผย แก๊งมิจฉาชีพไซเบอร์ย้ายฐานไปอยู่เมียนมามากขึ้น
รายงาน UNODC เผย องค์กรอาชญากรรมที่แพร่หลายอยู่ในเอเชีย มีฐานปฏิบัติการอยู่ในเมียนมา ลึกเข้าไปจากพื้นที่ชายแดนจีนและไทย สร้างอุปสรรคในการกวาดล้าง และเหยื่อหลบหนียากขึ้น
สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เผยแพร่รายงาน ระบุว่า เครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่ทรงอำนาจจากจีนและไต้หวัน ได้ใช้พื้นที่ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและฟิลิปปินส์ เพื่อปฏิบัติการหลอกลวงคนผ่านทางอินเทอร์เน็ตจนสร้างความเสียหายไปแล้วหลายพันล้านดอลลาร์
แม้มีการปราบปรามในกัมพูชาและฟิลิปปินส์ไปบ้างแล้ว แต่อาชญากรที่หลงเหลือก็ยังคงหลอกลวงผู้คนอย่างแยบยลมากขึ้นภายใต้การคุ้มกันของกองกำลังชาติพันธุ์ในเมียนมา
รายงานระบุว่า ฐานปฏิบัติการของมิจฉาชีพเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ในสองพื้นที่ของเมียนมา ได้แก่ เมียวดี ซึ่งเป็นเมืองชายแดนที่อยู่ตรงข้าม อ.แม่สอด ประเทศไทย และอีกพื้นที่คือบริเวณชายแดนตะวันออกของเมียนมาในพื้นที่ปกครองพิเศษว้าและโกก้าง ซึ่งมีชายแดนติดกับมณฑลยูนนานของจีน
เมียนมาเป็นที่รู้จักในฐานะประเทศที่กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ยึดครองพื้นที่ชายแดนสำคัญ ๆ และทำมาหากินกับเครือข่ายองค์กรอาชญากรรม โดยกองกำลังในพื้นที่ชายแดนไทยและจีนตามที่ระบุในรายงาน ก็เป็นกองกำลังที่มีชื่อเสียงมายาวนานในฐานะผู้ค้ายาเสพติด สัตว์ป่าหายาก ค้ามนุษย์ รวมถึงเป็นเจ้าของคาสิโนในพื้นที่ปกครองของตนเอง
รายงานของ UNODC ระบุด้วยว่า องค์กรต่างชาติหลายแห่งเชื่อว่า มีผู้คนหลายหมื่นคนจากทั่วเอเชียและภูมิภาคอื่น ๆ ถูกหลอกให้เดินทางเข้ามาทำงานกับแก๊งมิจฉาชีพตามจุดศูนย์รวมของสถานที่ปฏิบัติการเหล่านี้ โดยส่วนมากเป็นคนหนุ่มสาวที่มีการศึกษาสูงที่เข้าใจว่ามาทำงานถูกกฎหมายกับบริษัทเทคโนโลยีที่ให้ค่าจ้างสูง แต่สุดท้ายพบว่าต้องมาทำงานหลอกลวงผู้อื่น และต้องจ่ายค่าไถ่เป็นมูลค่าระหว่าง 3,000-6,000 ดอลลาร์ (ราว 1-2 แสนบาท) ซึ่งอาจจ่ายโดยครอบครัว สถานทูต หรือองค์กรเอ็นจีโอต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม มีบางส่วนที่ตั้งใจเดินทางมาทำงานหลอกลวง และชักชวนเพื่อนฝูงหรือครอบครัวมาร่วมทำงานด้วย โดยรายได้ของคนเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ทำงาน และบ่อยครั้งเป็นส่วนแบ่งจากการหลอกลวงเหยื่อ
วีโอเอติดต่อรัฐบาลเมียนมาเพื่อขอความเห็น แต่ไม่ได้รับการตอบรับ อย่างไรก็ตาม ทั้งจีนและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศ ได้เห็นชอบที่จะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาแก๊งมิจฉาชีพ ที่เดิมทีมีจุดเริ่มต้นจากธุรกิจคาสิโนในกัมพูชา ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นงานมิจฉาชีพในช่วงโควิด-19 ระบาด ที่หลอกลวงให้คนมาลงทุนที่ไม่มีอยู่จริง หรือแกล้งสร้างสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวแล้วให้โอนเงินมาให้ (romance scam)
“กลุ่มองค์กรอาชญากรรมกำลังไปกระจุกตัวกันในพื้นที่ที่พวกเขาเห็นว่าเปราะบาง” เจเรมี ดักลาส ผู้แทนประจำภูมิภาคของ UNODC ที่มีส่วนในการทำรายงาน ระบุ
ข้อมูลจากรายงานชี้ว่า ฐานปฏิบัติการทั้งหลายถูกติดตั้งเหล็กดัด และเฝ้าด้วยกลุ่มคนติดอาวุธ เพื่อไม่ให้พนักงานหลบหนีได้
ผู้สื่อข่าววีโอเอได้รับวิดีโอที่แสดงให้เห็นภาพคนไทยจำนวนหนึ่งถูกคุมตัวโดยกลุ่มคนติดอาวุธให้เดินรอบ ๆ พื้นที่ออกกำลังกายในขณะที่ถูกมัดมือ เนื่องจากไม่สามารถทำยอดขายจากการหลอกลวงคนได้ตามเป้าที่กำหนด
รายงานระบุด้วยว่า ส่วนใหญ่ของผู้ที่ทำงานให้กับแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้ข้ามพรมแดนไปจากไทย ซึ่งเป็นทั้ง "ประเทศต้นทางและจุดผ่าน" สำหรับการลักลอบค้ามนุษย์ในอาชญากรรมนี้
UNODC ระบุว่า แม้มีเหยื่อหลายรายเข้าถึงการช่วยเหลือจากสถานทูตหรือภาคประชาสังคม จนนำไปสู่การไถ่ตัวออกมาได้ แต่ก็ยังมีฐานปฏิบัติการในพื้นที่ห่างไกลในรัฐฉาน ที่เหยื่อยังไม่สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือได้
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.