"แอน อรดี" เคลียร์ดราม่าเป็นหมอลำโตนฮ้าน! เคยด้อยค่าตัวเองไปต่อกับชีวิตไม่ได้จนเกือบซึมเศร้า
เปิดเส้นทางหมอลำสุดฮอต "ณิชนันทน์ อินทรสอน" หรือ "แอน อรดี" กว่าจะโด่งดังอย่างทุกวันนี้ เคยด้อยค่าน้อยใจตัวเองจนไม่อยากร้องเพลง เกือบเป็นโรคซึมเศร้า แทบไปต่อกับชีวิตไม่ได้ พร้อมเคลียร์ดราม่าเป็นหมอลำโตนฮ้าน! ในรายการ "เบิ้ล AM"
ปีนี้ได้ยินข่าวว่า พี่แอน มีการรับเลี้ยงลูกบุยธรรมด้วย เป็นมายังไงครับ น้องเป็นฝาแฝดด้วย ?
แอน อรดี : ใช่แล้วค่ะ ก็เป็นเรื่องที่แปลก คืออยู่ดีๆ คุณยายกับคุณแม่เขาพามาเจอพี่บอยก่อน แล้วก็บอกว่าครอบครัวเลี้ยงไม่ไหวช่วยรับน้องไปอุปการะได้ไหม คือด้วยความที่เขามีลูก 6 คน คนแรกมีคนอุปการะไปแล้ว ก็เหลือ 5 คน แต่คุณแม่เขาก็คอยมาถามสารทุกข์สุกดิบตลอดนะคะ
โตมาเราก็ไม่ได้ปิดกั้นก็จะบอกเขาว่านี้คือคุณแม่ ?
แอน อรดี : ใช่ค่ะ ต้องบอกค่ะ ต้องให้เขารู้จักกตัญญู
ชื่อน้องพลอยและน้องเพชร มีแววที่จะเป็นนักร้องฝาแฝดสาวในอนาคตไหม ?
แอน อรดี : แน่นอนค่ะ ดิฉันจะตั้งใจปลุกปั้นเป็นอย่างดี ตอนนี้ 1 ขวบ 4 เดือน
จุดเริ่มต้นของการเป็นหมอลำ ?
แอน อรดี : คือเกิดจากความจำเป็น คือพ่อกับแม่แยกทางกัน เราก็ต้องหาค่าเทอมให้น้อง แค่คิดว่าหมอลำสามารถทำให้เรามีรายได้ ก็เลยมาเข้าประถมบันเทิงศิลป์ ทุกๆเย็นคุณพ่อ ส. จะมีสมุดกลอนลำ เอาไปท่องเด้อตอนเย็นก็มาร้องให้พ่อฟัง ก็เริ่มจากนางเอกน้อยไปก่อน เดินตาม แล้วก็ได้ร้องเพลงเต้ยบ้าง ร้องเพลงหมอลำบ้าง แต่ว่ายังไม่ได้ลำเรื่องอะไร ฝึกดูท่าทาง ดูเทคนิค ดูการพูดอะไรไปก่อน ช่วงนั้นก็อยู่ประมาณ ม.4 - ม.5 จากนั้นก็ไปศิลปินภูไท แล้วก็กลับไปประถมบันเทิงศิลป์อีกรอบหนึ่ง แล้วก็มาสาวน้อยเพชรบ้านแพง และหมอลำใจเกินร้อย
กลายเป็นกระแสไวรัลเพลงเก่ากลับมาดังใหม่นั่นก็คือเพลง "ลืมฮูดซิบ"
แอน อรดี : เป็นเพลงของน้อง แรนดี้ อีสาน ค่ะ ตอนที่ได้ยินเพลงนี้ทีแรกก็ยังไม่รู้จักน้อง แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเราเป็นนักจัดรายการวิทยุ แล้วช่วงนั้นเราก็เปิดเพลงน้องซึ่งดังมากในสมัยนั้น คือตอนนั้นอายุ 13 ใช่ไหม เลยรู้สึกว่าเด็กคนนี้ทำไมร้องเพลงเก่งจัง เพลงก็ดีก็รู้สึกชอบตั้งแต่ตอนนั้น ในปัจจุบันเราก็เลยคิดว่าเพลงนี้น่าจะเอากลับมาเล่น เพราะดนตรีดีและเข้าใจง่ายคิดแค่นี้เลย
มีช่วงหนึ่งที่ แอน อรดี เกือบเป็นโรคซึมเศร้า ไม่อยากจะทำอะไรต่อแล้ว ไม่อยากร้องเพลงด้วยซ้ำ ?
แอน อรดี : ไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร เราก็เจอเหตุการณ์ดราม่ามาก็เยอะ คอมเมนต์อะไรก็เยอะทำไมช่วงนั้นอ่อนแอจังเลย จิตใจไม่แข็งแรง เหมือนเดิมหรือว่าเราพักผ่อนน้อย หรือทำงานเยอะไป พยายามคิดแต่มันไม่มีคำตอบ แอนเคยทักไปหาเบิ้ลเพื่อที่จะอยากรู้ว่าคำถามที่อยู่ในใจมันคืออะไร เราอยากได้ยินจากคนที่เขาประสบความสำเร็จแล้วเขาผ่านมาได้ยังไง เราก็เลือกที่จะทักหาเบิ้ล โทรหาเบิ้ลว่าถ้าแอนคิดอย่างนี้แสดงว่าเราเป็นยังไงอยากฟังมุมมองของเบิ้ลด้วย
อะไรเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้กลับมามีความสุขแล้วก็เดินหน้าในการลุยงานได้ดีอย่างปัจจุบัน ?
แอน อรดี : เวลาที่มันเป็นสำคัญเราก็จะเห็นแฟนคลับ เห็นทุกคนมาอยู่รอบข้างเรา เราก็เลยรู้สึกว่านี่ไงมันคือสิ่งที่ดีแล้วไง แล้วยังจะต้องถามอะไร กลัวอะไรอีก เหมือนกับการคุยกับตัวเองเรื่อยๆ แล้วก็สะกดจิตตัวเองว่าเธอต้องมีความสุขสิทุกคนอยากมาอยู่ตรงนี้นะ ทำไมเธอต้องน้อยใจตัวเอง ด้อยค่าตัวเอง ก็เลยเริ่มหาอะไรที่สนุกสนานมาดู อะไรขำๆ ก็ดู จนได้มีโอกาสคุยกับพี่บอยตรงๆ ตอนแรกแกก็ว่าเราเป็นบ้าหรือเปล่า คือแกเป็นคนที่ไม่เชื่อว่าโรคซึมเศร้ามีจริง แกเป็นคนที่ค่อนข้างจัดการกับตัวเองได้ดี แกก็อยากให้เราเข้มแข็งไปด้วยกัน
มีดราม่าเรื่องหนึ่งที่อยากจะเคลียร์ใจด้วยก็คือถูกตราหน้าว่าเป็นหมอลำโตนฮ้าน คืออะไร ?
แอน อรดี : ปกติหมอลำเขาจะอยู่จนจบฤดูกาล ฤดูกาลหนึ่งจะมีอยู่ประมาณ 9 เดือน ตั้งแต่กันยายนจนถึงพฤษภาคม คำนี้จะเป็นคำที่ติดอยู่ในใจแอนมาตลอด ทุกครั้งที่เราจะย้าย ทุกครั้งที่เราจะปรับเปลี่ยน แอนจะโดนด่าตลอด จะมีดราม่าตลอด ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะหายไปจากแอนเมื่อไหร่ จริงๆ แล้วช่วงปีแรกตั้งแต่แอนไปอยู่ที่ประถมบันเทิงศิลป์ช่วงหนึ่งแอนได้กลับมาเรียน มาประกวดชิงช้าสวรรค์ เรียนจบเข้ามหาวิทยาลัย
สักพักหนึ่งครอบครัวแยกย้ายก็ต้องไปหาเงิน เข้าหมอลำอีกครั้งหนึ่ง ก็คือกลับไปศิลปินภูไท คุณพ่อวีให้โอกาสให้ชีวิตใหม่กับแอนเลยก็อยู่ได้ประมาณ 2-3 ปีก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ต้องออกจากวงกะทันหันซึ่งถือว่าเป็นปีที่พีคของแอนมาก ปีนั้นสังข์ทองรจนาดังมาก งานเข้าเยอะมาก แต่เนื่องจากเราเองมีปัญหาส่วนตัว ซึ่งจริงๆแล้วแอนคบกับลูกชายพ่อวี แล้วตอนนั้นมันเปิดเผยไม่ได้ก็คบกันตามประสาวัยรุ่น ตอนนั้นเราก็อายุประมาณ 22-23 แล้ว แล้วก็รู้สึกว่ามันไปต่อกันไม่ได้ เราเองก็เหมือนหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวเขาไปแล้ว ถ้าเราจะออกย้ายไปข้างนอกคนในวงก็จะมองยังไง
มันทำตัวลำบาก อึดอัดใจ เป็นเรื่องที่เราพูดให้คนอื่นฟังไม่ได้ว่าเราคบกัน ทำให้แอนปรึกษาคุยกับใครไม่ได้คือนอนร้องไห้ทุกคนด้วยความเป็นเด็กก็เลยเก็บกระเป๋าไม่อยู่แล้วหนีออกจากบ้าน มีผลกระทบเพราะเราเป็นนางเอก เขาก็หาคนเข้ามาไม่ทันแล้วก็เจ้าภาพหลายๆ งานก็ไม่พอใจทำไมไม่ใช่เรา ซึ่งเขาเองก็ได้รับผลกระทบเยอะมาก เชื่อไหมว่าปรากฎการณ์ในช่วงนั้นมันทำให้กลุ่มหมอลำตั้งกฎขึ้นมาว่าเราควรที่จะมีการเซ็นสัญญาให้กับพระเอกนางเอกเพื่อจะให้อยู่จบฤดูกาลเพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้
ช่วงนั้นปิดโทรศัพท์ 7 วันไปอยู่กับคุณย่าที่ขอนแก่น พอเริ่มรู้สึกว่าแข็งแรงก็โทรไปหาแม่อิ๋ว พ่อดาบ ส. ว่าหนูอยากทำงานเพราะหนูไม่มีตังค์เลย แม่รับหนูได้ไหม เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวแม่เคลียร์ให้ แม่อย่าว่าหนูนะเพราะหนูไม่รู้จะทำยังไงจริงๆแล้ว แต่หนูขอโทษที่ทำให้ทุกคนลำบากใจ เราก็กลับไปอยู่ประถมบันเทิงศิลป์วันที่เรามาขึ้นเวทีครั้งแรกก็ลุ้นว่าคนจะพูดยังไง แต่ก็พอรู้มาบ้างว่าฟีคแบคทางศิลปินภูไทเขาไม่โอเคว่าให้เราสารพัดว่า คอยดูสิจะอยู่ได้นานสักเท่าไร สักหน่อยมันก็โตนฮ้านอีก คือทุกอย่างเป็นการเริ่มต้นใหม่ก็จริง แต่มันก็เป็นอะไรที่ยังติดอยู่ในใจ เราก็ทำงานแบบไม่มีความสุข นั่งทบทวนแล้วก็ให้คำมั่นสัญญากับตัวเองว่าถ้าได้มีโอกาสแก้ตัวจะไม่ทำแบบนั้นอีก จะเป็นคนดีทำที่ถูกต้อง จะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีก แล้วถ้าเกิดว่าเราได้มีโอกาสเติบโตพัฒนาขึ้น มีโอกาสสอนน้องๆ เราจะแนะนำไม่ให้คนอื่นทำเหมือนเรา จะเป็นกระบอกเสียงในเรื่องนี้ อันนี้คือสิ่งที่ตั้งใจไว้ ก็พยายามพิสูจน์ตัวเองให้คนเหล่านั้นเขาได้เห็นว่าเราตั้งใจนะ
สามารถติดตาม “เบิ้ล AM” ได้ที่ช่องทาง Facebook: WE DO , Youtube: WE DO วันพฤหัสบดี เวลา 19.00 น.
คลิกชมคลิปย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=siJjt8EY-Do&t=112s&ab_channel=WEDO
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.