“เฌอเอม ชญาธนุส” เล่าโมเมนต์ เคลียร์ใจ “ณวัฒน์” ปิดตำนานดราม่าแบบหวานสุด

ถึงกับออกปากว่าตั้งแต่ชีวิตถูกโลกค้นพบก็ไม่เคยขาดดราม่า สำหรับ เฌอเอม-ชญาธนุส ศรทัตต์ ที่เพิ่งอำลาตำแหน่งมิสแกรนด์ลำพูน ล่าสุดก็ได้เปิดใจในงาน RISERA GRAND OPENING เปิดตัวแบรนด์ RISERA (ไรซ์เซร่า) สกินแคร์แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในไทยกับนวัตกรรม Fill Oléoactif ณ Gaysorn Urban Resort, The Crystal Box

โดย เฌอเอม ชญาธนุส ก็ได้เปิดใจทั้งเรื่องการจูบปากเคลียร์ใจกับ บอสณวัฒน์ เรียบร้อยแล้ว รวมถึงการออกมาแสดงมุมมองเรื่องการแก้ไขกฎหมายเยาวชนด้วย

ถามถึงผลงานช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ?
“ก็ตอนนี้เพิ่งอำลาตำแหน่งมิสแกรนด์ลำพูนนะคะ แล้วก็พร้อมจะก้าวไปสู่บริบทใหม่ๆ ค่ะ ตอนนี้ก็มีเพลงนึง ที่ทำกับ พี่นิว นภัสสร ก็เพิ่งคลอดลูกชายไปหยกๆ ก็ต้องขอแสดงความยินดีไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ส่วนเพลงจะคลอดเมื่อไหร่ ยังไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวรอคุณแม่พักฟื้นก่อน แล้วที่จริงแล้วเนี่ยก็มีหลายงานที่ติดต่อเข้ามาเพราะว่าเรามีภาพลักษณ์นางงามเนอะ บางคนก็ อยากจะให้ไปทำอย่างอื่นต่อ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง หรือว่าพิธีกร ก็ถือว่าอยู่ในช่วงที่ค้นหาตัวเองค่ะ แต่ที่แน่ๆ คือนอกจากผลงานเพลง เราก็ยังแบรนด์แต่ยังไม่บอกแล้วกันว่าคืออะไร แต่เป็นเกี่ยวกับความงาม เป็นแบรนด์ความงามของตัวเอง ใกล้จะเปิดตัวแล้วค่ะประมาณเดือนกุมภาพันธุ์ มีนาคมนี้ค่ะ”

แล้วงานเพลงนี้เราเป็นนักร้องหรือยังไง ?
“ก็จริงๆ เราลองทำดูค่ะ แต่เรียกว่านักร้องได้ไหมก็ไม่สามารถเรียกได้เต็มที่นะคะ แต่ว่ามันมาจากความตั้งใจ ที่จะสื่อสารออกไปผ่านการทำเพลง เพราะว่าเอมมีเรื่องราวนิดนึงตอนประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ เอมต้องขึ้นไปร้องเพลงหมอลำหรือว่าเพลงอีสาน แล้วก็ตอนนั้นคือทำไม่ได้เลยเพราะไม่ถนัด แล้วโดนโจมตีในโซเชียลเยอะมาก จนเรารู้สึกว่ามันดาวน์มากอะค่ะ แล้วก็มีช่วงนึงคือไม่มั่นใจ ไม่อยากเจอคน ไม่กล้ามองกล้อง ก็เกลียดเสียงตัวเองไปเลย เพลงนี้เหมือนนอกจากทำเพื่อ ฮีลใจเราขึ้นมาอ่ะคะ มันก็พูดไปถึงคนอื่นๆในสังคมด้วยที่เจอสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าอยากยอมแพ้ หรือว่าเกลียดในความเป็นตัวเอง เราอยากจะให้กำลังใจเขาให้ไปสู่สิ่งใหม่ๆ พี่นิวเองเขาก็อยากจะลองดูอะค่ะ เขาอยากจะลองทำเพลงที่มันเกิดการสื่อสารในทางบวกดูอะไรอย่างนี้ ก็เลยมาคอลแลปกัน เราก็ตั้งใจทำเต็มที่ในพาร์ทของเราค่ะ ส่วนเรื่องของ Lyric หรือวันที่จะปล่อยตัวก็เป็นเรื่องของพี่นิวค่ะ”

เป็นแบบ featuring กันหรือว่ายังไง ?
“อ๋อ ไม่ได้ featuring ค่ะ พี่นิวก็ถือว่านั่งเป็นโปรดิวเซอร์นะคะ ดูในด้านอื่นๆ โหยถ้า featuring ก็อายเค้านะคะพี่ (นึกว่าเป็นคู่ดูโอ้ นิว-เฌอเอม ?) ตายล่ะ อาจจะขอเวลาอีก 10 ปีค่ะ ไปร่ำเรียนมาก่อนจะมาดูโอ้ได้”

ที่ผ่านมาดราม่าของเราค่อนข้างหนักหน่วงเหมือนกันเป็นยังไงบ้าง ?
“ก็ต้องบอกว่าชีวิตเอมตั้งแต่วันที่โลกค้นพบ ก็ยังไม่เคยขาดดราม่าแม้แต่ช่วงเดียว จริงๆ ถามว่ามันหนักหน่วงไหม มันก็ไม่ได้เกินขีดจำกัดค่ะ มันจะมีหลายครั้งที่เราคิดว่า โอ้โห ! มันคงไม่ไหวแล้วล่ะ เราคงจะเหนื่อยเราคงจะพออะไรอย่างนี้ แต่ทุกวันที่ตื่นมา เราก็รู้สึกว่าก็อยู่รอดมาได้อีกวันหนิอะไรอย่างนี้ งั้นก็ลองใหม่ดู เอมจะอยู่กับความรู้สึกแบบนี้แล้วก็ความพยายามเล็กๆ แบบนี้ทุกๆ วัน แล้วเราผ่านมาได้เรื่อยๆ สิ่งที่ดีกว่าบาดแผลที่มันถูกเยียวยาตามกาลเวลา มันคือความสัมพันธ์ของผู้คนที่เคยอยู่ในเรื่องราวต่างๆ มันกลับมาสมานกัน อย่างเอมกับพี่ณวัฒน์ หลายคนก็จะชอบคิดว่าเรายังทะเลาะกันอยู่เลย แต่ว่าความจริงก็คือเราไม่ได้โกรธกันมานานมากแล้วนะคะ แล้วก็ต้องบอกตามตรงว่าเขาเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนนึงที่เอมรักแล้วก็เคารพมากๆ อย่างพ่อแม่ของเราเองบางทีเราก็ยังมีเรื่องที่ทะเลาะแล้วก็ไม่เข้าใจกัน มันไม่แปลกที่มันจะเกิดขึ้นกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนจริงๆ หรือว่าเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือเป็นคนในองค์กร แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเราพยายามที่จะกลับมาอยู่ในที่เดียวกันนะคะ แล้วก็ทำให้สถานที่นั้นมันดียิ่งขึ้น ก็คือองค์กรมิสแกรนด์ไทยแลนด์ แล้วก็รวมไปถึงมิสแกรนด์ลำพูน ลำปางค่ะ”

ได้มีการเคลียร์ใจกับพี่ณวัฒน์กันไปแล้วใช่ไหม ?
“ก็ถามว่าเคลียร์ใจไหม คือแรกๆ มันจะเหมือนสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียค่ะ เหมือนฝากตอบคำถามหรืออะไรมา คนก็จะส่งมาให้เราดูว่า คลิปนี้เขาสัมภาษณ์แบบนี้นะอะไรอย่างนี้ แต่เอมก็มี LINE พี่ณวัฒน์ค่ะ เราก็คุยส่วนตัวกันบ่อย แล้วพอเจอกันตามงาน เราก็ค่อยๆ เข้าหากัน เอมว่ามันไม่ใช่การพยายามที่จะเคลียร์ แต่มันคือการที่เราคิดถึงกัน แล้วก็อยากจะกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ อย่างงานล่าสุดก็ไปออกกับพี่ณวัฒน์มาค่ะ”

เรียกว่าจูบปากกันแล้ว ?
“(หัวเราะ) โอเค หวานเลย (หัวเราะ)”

ก็ถือว่าเคลียร์ใจกันด้วยดี ?
“ค่ะ แฮปปี้ค่ะ (ความกังขาที่มันเคยมีมันก็หายไป ?) หายไปค่ะ แล้วเอมว่าหลายๆ เหตุการณ์ดราม่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเติบโตขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้น แล้วก็เข้าใจสังคมมากขึ้นด้วยค่ะ”

อย่างย้อนกลับไปวันนั้นมันหนักหน่วงถึงขั้นที่เราอยากจะถอดใจแล้วก็หายไปเลยไหม ?
“ต้องถามว่าวันไหนเพราะว่าดราม่ามันหลายวันเหลือเกิน ถ้าเป็นวันที่ทุกคนคุ้นก็จะเป็นวันดูดวงเนอะ ถ้าพูดจริงๆ คือตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าจะถอดใจหรือไปไหนค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าเราอาจจะทำไม่ได้หนึ่งกิจกรรม หรือว่าทำได้ไม่ดีที่สุด แต่ว่าเราก็อยากประกวดจนวันสุดท้ายค่ะ ซึ่งเขาก็เคารพตรงนั้น มันไม่ใช่การผิดกฎของกองฯ หรือว่าไม่ใช่การที่เขาจงใจอยากทำลายชีวิตเราหรือว่าอะไรอะค่ะ เขายังคงให้เราอยู่ตรงนั้น ณ ที่ที่เราควรจะอยู่ ยอมรับเราเป็นมิสแกรนด์จังหวัดคนหนึ่ง จนจบมิสแกรนด์ไทยแลนด์ เอมว่าแค่นั้นเขาก็มองเราเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า มีสิทธิมากพอแล้ว มันไม่จำเป็นต้องให้เราพิเศษค่ะ แต่ว่าให้เราเท่าเขาให้คนอื่น หลังจากนั้นพี่ณวัฒน์ก็มีมุมมองที่เข้าใจหลายๆ อย่างมากขึ้น เขาก็เข้าใจเอมมากขึ้นด้วย แล้วเอมคิดว่าหลังจากนี้มิสแกรนด์ก็มีการเติบโตขึ้นไปในรูปแบบที่เป็นผู้นำทางความคิดนะคะ แล้วก็อยู่กับสากลโลกได้ในแบบที่กลมกลืนมากขึ้น คือเราเริ่มจากการที่เป็นเวทีไทย แล้วคนก็ดูถูกว่ามันเป็นอะไรแบบไทยไทย แต่เอมเชื่อว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นตลอดไปค่ะ แล้วก็เรากำลังที่จะเป็นผู้นำในระดับโลก นอกจากวงการนางงามแล้ว ก็ยังเป็นเรื่องของเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ด้วย เพราะฉะนั้นปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะหนักนะคะ แต่เป็นปีที่หลายๆ คนก็ได้รับอะไรไปเยอะ แล้วก็เป็นสิ่งดีๆ รวมถึงเอมด้วยค่ะ”

จะหวนกลับคืนสู่เวทีอีกสักครั้งไหม ?
“(หัวเราะ) พี่เชื่อไหมว่า หนูไม่เคยไปไหนแล้วไม่ได้ยินคำถามนี้เลย (คนก็ยังเสียดายความสามารถเรา อยาดเห็นเราครองมง ?) จะหวนคืนสู่เวทีไหมเหรอคะ คือเอาตรงๆ เอมคิดว่ามันต้องพักก่อนค่ะ เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากกับการประกวดนางงามก็คือการรู้จักตนเองนะคะ รู้ว่าเรามาทำอะไร ทำเพื่ออะไร แล้วก็น้อยที่สุดที่เราต้องการคืออะไรที่จะทำให้เราไม่ร้องไห้ถ้าหากว่าเราไม่ได้ตำแหน่งอะไรเลย ตอนนี้เอมพอใจกับทุกอย่างมากๆ ค่ะ มันก็เลยยังไม่มีจุดที่เรารู้สึกว่าเราอยากจะกลับไปด้วยความตั้งใจอันแรงกล้า แต่ถามว่าเราประกวดได้ไหม แน่นอนว่าเรามีศักยภาพที่จะประกวดได้ หนูใช้คำว่า 1% แล้วกันค่ะ คือคาดว่าเป็น 1% ที่อาจจะเป็นปาฏิหาริย์ แต่ส่วนใหญ่เราก็คิดว่าเราคงไม่ได้กลับไปแล้วแหละเพราะว่าเราก็มาถึงจุดที่น่าจะไปทำ บริบทอื่นแล้วอะไรอย่างนี้ค่ะ”

ถามถึงเรื่องที่เราออกมาเป็นหนึ่งในกระบอกเสียง เรื่องการยกเลิกกฎหมายเยาวชน เอมมีมุมมองในเรื่องนี้เรื่องนี้ยังไงบ้าง ?
"อันที่จริงเรื่องของเยาวชนอ่ะคะ การมีกฎหมายเยาวชนมันไม่ได้ปกป้องแค่สิทธิของเด็กนะคะ แต่ว่าปกป้องสิทธิของผู้ใหญ่ด้วย ก่อนหน้านี้ก็จะมีกรณีดราม่าที่เกิดขึ้นระหว่างนักกีฬาท่านหนึ่งแล้วก็เยาวชนท่านหนึ่งที่แอบเข้าไปในสถานบันเทิง โดยไม่บอกเป็นเยาวชน ถ้าตอนนั้นไม่มีกฎหมายเยาวชนอ่ะคะ นักกีฬาท่านนั้นก็อาจจะโดนลงโทษสถานหลัก ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเองก็ถูกปิดบังข้อมูลที่สำคัญมากๆ เราไม่ควรจะยกเลิกกฎหมายเยาวชนเพื่อความสะใจชั่ววูบนะคะ แต่เราควรมองว่าในระยะยาวกฎหมายนี้มันปรับปรุงให้ดีขึ้นกับสังคมยังไงได้บ้าง และที่สำคัญคือประเทศไทยเองก็อยู่ในอนุสัญญาที่คุ้มครองสิทธิ์ของเยาวชนด้วย ซึ่งทั่วโลกกว่า 180 ประเทศเขาก็มีกัน ถ้าสมมุติวันนี้เรายกเลิก เราจะถูกตั้งคำถามจากนานาชาติทันที เอมคิดว่าปรากฏการณ์นี้ แม้ว่ามันจะเสียงแตกออกเป็นสองฝ่ายและค่อนข้างรุนแรงแต่ว่ามันก็ทำให้เราย้อนกลับมองสังคมว่าทำไมเราถึงมาในจุดที่เราอยากจะทอดทิ้งเยาวชนของสังคมเราเอง แล้วก็น่าจะทบทวนดูค่ะ ว่าเราจะทำยังไงให้ดีขึ้นด้วย ที่สำคัญก็คือเรือนจำไม่ใช่ว่าเข้าไปเร็วแล้วแก้ไขได้เร็ว เพราะว่าการจะแก้ไขพฤติกรรมของนักโทษหรือว่าของผู้ต้องขังให้ออกไปใช้ชีวิตในสังคมปกติได้ดีขึ้นเนี่ย มันอยู่ที่ระบบของเรือนจำด้วยว่ามันได้ Support สิ่งนั้นไหม ซึ่งทุกวันนี้เอมคิดว่ามันก็อาจจะยังไม่ได้มีประสิทธิภาพที่ดีพอค่ะ การจะลดอายุแล้วให้ผู้เยาว์เข้าไป มันอาจจะเป็นการเคี่ยวกลำเข้าก่อนเวลาอันควรซะด้วยซ้ำ"

แต่ปัจจุบันมีเหตุการณ์หรือข่าวที่เกี่ยวกับเยาวชนเยอะมากๆ เลย ?
"อันที่จริงมันก็คงเป็นทุกที่ในโลกอะค่ะ เอมก็ไม่อยากพูดว่าประเทศไทยเราด้อยพัฒนาหรือสังคมเรามันยังไม่พร้อมกับความเจริญอะไรอย่างนี้ เอมเห็นในเน็ตมามากเวลาที่มีข่าวเกี่ยวกับเยาวชนเกิดขึ้น แต่ความจริงมันมีทุกที่นะคะ แล้วมันก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน เอมอยากให้ทุกคนมีความหวังกับประเทศไทยมากกว่านี้ค่ะ เพราะว่าถึงมันจะเป็นประเทศที่ไม่ได้ดีพร้อมในความรู้สึกของใครบางคน แต่มันเป็นที่ที่เราอยู่นะคะ แล้วก็เป็นบ้านของเรา"

อยากให้มีการปรับกฎหมายเยาวชนตรงไหนบ้าง ?
"ตัวกฎหมายเยาวชนใช่ไหมคะ เอมคิดว่าเรื่องของการไตร่ตรองมาก่อนก็มีผลค่ะ หลายคนมองว่าเยาวชนอาจจะไม่ได้มีดุลยพินิจ มีประสบการณ์พอที่จะสามารถตีความได้ว่าเขารู้ดีพอว่าเขาจะก่ออาชญากรรม แต่บางครั้งการไตร่ตรองมาก่อนมันคือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเขาได้อยู่กับมันมาระยะเวลาหนึ่ง วุฒิภาวะก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน บางคนอายุน้อยแต่วุฒิภาวะสูง บางคนมีอายุแล้วแต่ว่าวุฒิภาวะก็อาจจะยังไม่ได้มีเท่าอายุ จุดนี้คือที่มันแยกเด็กกับผู้ใหญ่ออกจากกัน แต่ว่าเราจะแยกโดยแบ่งขาวดำเลยไม่ได้ ในช่วงที่มันเทาๆ อะค่ะ เราอาจจะต้องใช้การพิจารณาที่เหมาะสมเพื่อดูว่าเขาได้ตั้งใจที่จะก่ออาชญากรรมหรือเปล่า แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆโทษของเขาควรจะเป็นแบบไหน แล้วเราจะแก้ไขมันยังไง เพราะสุดท้ายแล้วผู้ต้องขังทุกคนหรือว่าผู้กระทำความผิดทุกคนก็ยังคงเป็นสมาชิกของสังคม ถ้าหากเขาไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมปกติได้ นอกจากความเป็นมนุษย์ของเขา มันก็ยังมีเรื่องความปลอดภัยของคนในสังคมอีก เราไม่ได้แก้ไขเพื่อให้คนกลุ่มนึงมีชีวิตที่ดี แต่ว่าเราแก้ไขเพื่อให้คนทุกกลุ่มมีชีวิตที่ดีค่ะ"

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.