เปิดโผ 6 รถมือสองราคาร่วงหนัก ใครถอยป้ายแดงถึงขั้นน้ำตาตก

     แม้ว่ารถยนต์มือสองจะมีราคาขายต่อหล่นจากสมัยป้ายแดงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่รถบางรุ่นกลับมีราคาตกมากกว่ารุ่นอื่นๆ เมื่อเทียบกับคู่แข่งในสมัยป้ายแดง บทความนี้ Sanook Auto จะพาไปรู้จักรถ 6 รุ่นที่มีราคาร่วงหนัก ชนิดที่คนซื้อป้ายแดงถึงกับน้ำตาตกในกันเลยทีเดียว

Chevrolet Cruze

 

     แม้ว่า Chevrolet Cruze จะถือเป็นรถพิกัด C-segment ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นมากกว่าคู่แข่งหลายรุ่นในสมัยนั้น แต่ปัญหาหลักของรถรุ่นนี้ก็คือ "เกียร์พัง" ซึ่งในอดีตเคยตกเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้ว ทำให้ผู้ที่ใช้รถรุ่นนี้ทยอยปล่อยลงสู่ตลาดมือสองกันเป็นแถว แถมคนซื้อก็ไม่กล้าเสี่ยงจนสุดท้ายหันไปเล่นรุ่นอื่นแทน ส่งผลให้ราคามือสองร่วงจนเหลือไม่ข้ามแสน แม้ว่าอายุรถส่วนใหญ่จะป้วนเปี้ยนราว 10 ปีเท่านั้นเอง

     หากเป็นรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ก็ยังพอไปวัดไปวาได้หน่อย เพราะขึ้นชื่อว่าหายากและไม่จุกจิกเท่าเครื่องยนต์เบนซิน แต่ก็แลกมาด้วยสภาพดีๆ ที่มีอยู่น้อยนิดเหลือเกิน

Ford Focus (MK3)

     อันที่จริง Ford Focus เจเนอเรชันที่ 3 ก็ถือเป็นรถคอมแพ็กที่สวยงามน่าใช้ ออปชันก็มีให้แน่นๆ เทียบชั้นรถยุโรปได้สบาย แต่น่าเสียดายที่ลูกค้าหลายคนพบเจอปัญหาเกียร์ PowerShift ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ หากเบาหน่อยก็แค่เกียร์กระตุก หากเป็นหนักก็ถึงขั้นเข้าเกียร์แต่รถไม่วิ่ง เหล่านี้ทำให้เจ้าของรถต้องขายออกไปทั้งน้ำตา ส่งผลให้ราคามือสองร่วงหนักเมื่อเทียบกับค่ายญี่ปุ่นในระดับเดียวกัน

     แต่ที่พอจะสู้เขาได้หน่อยเห็นจะเป็นรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบ EcoBoost 1.5 ลิตร ที่ว่ากันว่าแก้ปัญหาเกียร์มาให้เรียบร้อยแล้ว แถมยังเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าคู่แข่งในสมัยนั้น จึงทำให้ราคามือสองในตลาดยังอยู่ในระดับ 3-4 แสนบาทเลยทีเดียว

MG6

     MG6 ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของเอ็มจีที่ทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งเปิดตัวมาด้วยราคาค่อนข้างสูง แถมยังเป็นช่วงที่รถพิกัด C-segment กำลังเสื่อมความนิยม เพราะลูกค้าหันไปเล่น SUV แทน ทำให้หลายคนเลือกที่จะคบหากับเจ้าตลาดมากกว่า ส่งผลให้ราคามือสองเหลือเพียง 1 แสนบาทต้นในรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ ส่วนรุ่นไมเนอร์เชนจ์แล้วก็อยู่เพียงราว 2 แสนกว่าบาท ทั้งๆ ที่สมัยป้ายแดงมีค่าตัวทะลุล้านบาทเลยทีเดียว

Volvo S60 / V60 DRIVe

     แบรนด์ Volvo ขึ้นชื่อว่าเป็นรถยุโรปที่ราคาตกอยู่แล้ว แต่สำหรับ S60 DRIVe และ V60 DRIVe ถือเป็นรุ่นที่ขึ้นชื่อว่าราคาตกหนักกว่ารุ่นอื่นๆ เพราะขึ้นชื่อว่ามีปัญหาเกียร์กับระบบเกียร์จนทำให้เจ้าของรู้สึกขยาด เจอค่าซ่อมทีก็ขนลุก ทำให้ผู้ที่มองหามือสองมักหันไปเล่นรุ่นเบนซินรหัส T4F หรือไม่ก็ดีเซลรหัส D4 ที่มีความสดใหม่มากกว่า และแก้จุดอ่อนหลายอย่างมาให้แล้ว

Mercedes-Benz E300 Bluetec Hybrid (W212)

     ถึงแม้ว่าจะเป็นเจ้าตลาดรถหรูอย่าง Mercedes-Benz แต่ก็ไม่วายเจอปัญหาราคาร่วงหนักกับเขาเหมือนกัน เพราะ E300 Bluetec Hybrid ที่ใช้ขุมพลังดีเซลคู่ไปกับมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งคอนเซ็ปต์ดูเหมือนจะดีเพราะได้ความประหยัด 2 ต่อ แต่พอเอาเข้าจริงผู้ใช้รถหลายคนเจอปัญหาแบตเตอรี่ไฮบริดเสีย ซึ่งว่ากันว่าค่าเปลี่ยนแบตพุ่งแรงแซงค่าตัวมือสองด้วยซ้ำไป ต่อให้ซ่อมอู่นอกก็หมดหลายแสนบาทอยู่ดี จนบางคนถึงขั้นเมินซ่อมพร้อมฝากอู่เป็นธุระขายต่อในราคาถูกๆ ให้เลย

Mercedes-Benz C350e (W205)

     สำหรับ Mercedes-Benz C350e รหัสตัวถัง W205 (ย้ำว่า W205 ตัวเก่านะ ไม่ใช่ตัวปัจจุบัน) แม้ว่าจะไม่เจอปัญหาระบบไฮบริดมากเท่ากับ E300 Bluetec Hybrid แต่เจ้าของรถหลายคนมักจะเจอปัญหาช่วงล่างถุงลมรั่ว ซึ่งค่าเปลี่ยนต้นนึงก็จุกๆ หลักแสนบาท (หากเข้าอู่นอกอาจถูกกว่านี้) ถ้าเปลี่ยนพร้อมกันทั้ง 4 ต้นคงแทบลมจับ แถมหลายคนก็เจอปัญหาคอมแอร์เสียบ่อย หากซ่อมอู่นอกก็ต้องเจอค่าซ่อมหลายหมื่นอยู่ดี

     ดังนั้นผู้ที่กำลังมองหา C-Class W205 จึงเลือกไปเล่นรุ่นเบนซินล้วน เช่น C180, C200 และ C250 แทน หรือไม่ก็ข้ามไปไฮบริดรหัส C300e และดีเซลรหัส C220d ไปเลย

     อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่ารถรุ่นที่กล่าวมาจะมีปัญหาไปทั้งหมดหรอกนะครับ หากเจอเจ้าของเก่าที่ดูแลรักษาดี กัดฟันซ่อมถึง รถก็มักจะอยู่ในสภาพดีเหมือนกัน อย่างไรก็ดีควรศึกษาข้อมูลของรถรุ่นนั้นๆ จากผู้ใช้งานจริงเสียก่อน จะได้รู้แนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ ก็จะสามารถเป็นเจ้าของรถดีในราคาประหยัดได้ครับ

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.