รีวิว Honda e:N1 ใหม่ ครอสโอเวอร์ไฟฟ้าล้วน 100% กับสมรรถนะอันกลมกล่อม
Honda e:N1 ใหม่ รถครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของฮฮนด้าประเทศไทย กับสมรรถนะที่กลมกล่อมสมกับแบรนด์ญี่ปุ่น แม้ว่าจะไม่มีขาย แต่เข้าถึงได้ง่ายกว่า Toyota bZ4X ส่วนความคุ้มค่าจะสมกับค่าเช่าเริ่มต้นเดือนละ 29,000 บาทขนาดไหน ติดตามได้ในบทความนี้ครับ
Honda e:N1 รุ่นปี 2024 ใหม่ ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในไทยบนเวทีงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45 เมื่อเดือนมีนาคม 2567 แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจไม่น้อยคือการวางจำหน่ายในรูปแบบเช่าระยะยาวเท่านั้น ไม่มีการขายขาดแต่อย่างใด โดยมีค่าเช่าเริ่มต้นที่ 29,000 บาท (คิดที่สัญญาเช่า 48 เดือน) สามารถเช่าได้ยาวสูงสุด 60 เดือน หรือ 5 ปี ซึ่งค่าเช่าอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบริษัทผู้ให้เช่า
แม้ว่าหลายคนจะรู้สึกตะหงิดๆ กับโมเดลการทำตลาด e:N1 ของฮอนด้าประเทศไทยอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าการปล่อยเช่าในลักษณะนี้ หากเทียบกับรถไฟฟ้าเพียงรุ่นเดียวของโตโยต้าในไทยคือ bZ4X แล้วล่ะก็ คนทั่วไปก็จะสามารถเข้าถึง e:N1 ได้ง่ายกว่า ประกอบกับการเช่าระยะยาวจะรวมค่าใช้จ่ายด้านประกันภัย และบำรุงรักษาทุกสิ่งอย่างไม่เว้นแม้แต่แบตเตอรี่ 12 โวลต์ และการเปลี่ยนยางทุก 50,000 กิโลเมตร และไม่ต้องรับความเสี่ยงเกี่ยวกับราคาขายต่อรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตด้วย
แพล็ตฟอร์มใหม่ 100% ครอบกระดอง Honda HR-V
แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของ Honda e:N1 จะละม้ายคล้ายคลึงกับ HR-V แทบทุกสัดส่วน แต่อันที่จริงรถคันนี้ได้รับการพัฒนาบนแพล็ตฟอร์มที่เรียกว่า e:N Architecture F สำหรับใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ จึงอาจเรียกว่าเป็นรถคนละคันกับ HR-V เลยก็ว่าได้ เพียงแค่หยิบยืมดีไซน์ตัวถังมาใช้เท่านั้นเอง
Honda e:N1 ถูกติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous Motor กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้า เคลมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ไว้ที่ 7.7 วินาที ล็อกความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.
ส่วนแบตเตอรี่เป็นแบบ Lithium-ion ความจุ 68.8 kWh ให้ระยะทางขับขี่สูงสุด 500 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC) รองรับการชาร์จปกติด้วยหัวชาร์จ Type 2 และหัวชาร์จด่วนแบบ CCS2 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย
ส่วนช่องชาร์จไฟของ Honda e:N1 ถูกติดตั้งไว้บริเวณด้านหน้ารถ โดยฝาปิดเป็นแบบไฟฟ้าสามารถเปิดได้จากปุ่มด้านหน้า และหน้าจอสัมผัสภายในรถ อีกทั้งยังมีแถบไฟแสดงสถานะการชาร์จมาให้ด้วย เพียงมองผ่านๆ ก็สามารถรับรู้ได้ว่าแบตเตอรี่กำลังชาร์จอยู่หรือชาร์จเต็มแล้ว
โดยหากแบตเตอรี่กำลังชาร์จไฟอยู่ แถบไฟแนวนอนจะกะพริบเบาๆ จากซ้ายไปขวา และเมื่อชาร์จเต็มแล้ว แถบไฟจะสว่างค้างไว้ตลอดเวลาเพื่อบ่งบอกว่าสามารถถอดหัวชาร์จออกได้แล้ว และหากเกิดความผิดพลาดใดๆ ในการชาร์จแล้วล่ะก็ จะมีไฟสีแดงกะพริบเพื่อเตือนให้เจ้าของรถทำการแก้ไขต่อไป
อุปกรณ์มาตรฐานจัดให้แบบครบครัน
แม้ว่า Honda e:N1 จะมีเพียงรุ่นย่อยเดียว แต่ก็ถูกติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานมาให้ครบครันอย่างที่ควรจะเป็น โดยด้านหน้าติดตั้งไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ และไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ Sequential ส่วนด้านท้ายติดตั้งไฟท้าย LED Light Strip สี Smoke แบบเดียวกับ HR-V รุ่น RS แต่ปรับเปลี่ยนจากโลโก้ H-Mark มาเป็นตัวหนังสือ HONDA จัดวางเรียงกันห่างๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของ EV จากฮอนด้า
อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ประกอบด้วย ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าอัตโนมัติ และด้านหลังแบบหน่วงเวลา, กระจกมองข้างปรับไฟฟ้าและพับเก็บอัตโนมัติ พร้อมปรับมุมกระจกฝั่งซ้ายลงอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง, ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED, กระจกมองข้างแบบลดการเกาะตัวของหยดน้ำ พร้อมระบบไล่ฝ้า, สปอยเลอร์ท้าย และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์เฉพาะรุ่น หุ้มด้วยยางขนาด 225/50 R18
ส่วนห้องโดยสารมีการออกแบบแผงคอนโซลหน้าใหม่เกือบจะทั้งหมดเช่นกัน โดดเด่นด้วยหน้าจอสัมผัสแนวตั้งขนาด 15.1 นิ้ว ที่แบ่งการแสดงผลออกเป็น 3 ส่วน ส่วนบนสุดจะใช้สำหรับระบบความบันเทิงต่างๆ รวมถึง Apple CarPlay (Wireless) และ Android Auto (USB) ถัดลงมาจะใช้สำหรับแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการขับขี่ และส่วนล่างสุดจะถูกใช้สำหรับระบบปรับอากาศแบบ Dual-zone เท่านั้น
แอบเสียดายที่ฮอนด้าไม่ทำปุ่มควบคุมระดับเสียงแยกออกมาต่างหากเหมือนกับรถรุ่นอื่นๆ เพราะใช้งานค่อนข้างสะดวกและปลอดภัยมากกว่าสัมผัสบนหน้าจอ แต่ยังดีที่ User Interface มีความใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนน่าปวดหัวเหมือนกับรถจีนหลายรุ่น ใครที่ขับฮอนด้าอยู่แล้วก็น่าจะปรับตัวได้ไว แถมหน้าจอยังให้ความลื่นและความไวในการตอบสนองดีเยี่ยมไม่ต่างจากไอแพดเลย
บริเวณใต้หน้าจอถูกติดตั้งปุ่มไฟฉุกเฉินขนาดใหญ่ มาพร้อมช่องจ่ายไฟ USB-A และ USB-C อย่างละ 1 ตำแหน่ง เสริมด้วยแป้นชาร์จไฟ (Wireless Charger) อีก 1 จุด ส่วนบริเวณเบาะนั่งแถว 2 มีช่อง USB-C มาให้อีก 2 ตำแหน่ง พร้อมช่องแอร์ที่ให้ความเย็นไม่แพ้กับช่องแอร์ด้านหน้า
นอกจากนี้ Honda e:N1 ยังถูกติดตั้งระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT ที่ถูกเพิ่มเติมด้วยฟังก์ชัน Charging Status สามารถตรวจสอบสถานะและตั้งค่าการชาร์จแบตเตอรี่จากสตาร์ทโฟนได้ เช่น การชาร์จที่ "บ้าน" หรือชาร์จไฟเมื่อเจ้าของ "ไม่อยู่" ใกล้รถ หรือการเลือกระดับการชาร์จตั้งแต่ LOW ที่จำกัดไฟฟ้าไว้ที่ 6 แอมป์ ไปจนถึง HIGH ซึ่งเป็นการรับกระแสไฟสูงสุดจากเครื่องชาร์จเท่าที่แบตเตอรี่จะรับได้
ส่วนฟีเจอร์ที่หลายคนน่าจะชอบอย่างการสั่งเปิด-ปิดระบบปรับอากาศ รวมถึงตั้งค่าอุณหภูมิจากสมาร์ทโฟน และการล็อก-ปลดล็อกประตูรถจากระยะไกลก็มีให้เช่นกัน
อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ของ Honda e:N1 ประกอบด้วย เบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์ตกแต่งด้วยขอบสีขาวและด้ายสีฟ้า, เบาะนั่งปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางเฉพาะฝั่งผู้ขับขี่, จอแสดงข้อมูลการขับขี่ 10.25 นิ้ว, กระจกมองหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, ไฟตกแต่ง Ambient Light สีฟ้าที่แผงประตูทั้ง 4 บาน, ระบบเกียร์ไฟฟ้าแบบสวิตช์, ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB พร้อม Auto Brake Hold และแป้นช่วยชะลอความเร็ว Deceleration Paddle Selectors ที่พวงมาลัย ปรับได้ 3 ระดับ เป็นต้น
ระบบ Honda SENSING ของ e:N1 ประกอบด้วย
ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (CMBS)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKAS)
ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (RDM with LDW)
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (ACC with LSF)
ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (LCDN)
อีกหนึ่งจุดที่ไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้ เพราะรอบนี้ฮอนด้าไม่ได้ใส่ระบบกล้อง Honda LaneWatch เหมือนกับฮอนด้ารุ่นอื่นๆ หากแต่เลือกติดตั้งระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (BSI) พร้อมระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอย (CTM) เหมือนค่ายอื่นๆ มาให้เสียที ถึงกระนั้นก็ยังมีเฉพาะกล้องมองภาพด้านหลังปรับได้ 3 ระดับ ไม่ใช่กล้องมองภาพรอบคัน แต่ยังดีที่มีเซนเซอร์กะระยะ 8 จุด (หน้า 4 จุด และหลัง 4 จุด) มาให้
ส่วนระบบความปลอดภัยมาตรฐานอื่นๆ ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA), ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (AHA), ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) และระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง (TPMS) เป็นต้น
สมรรถนะไฟฟ้าแต่ขับเนียนเหมือนรถสันดาป
จุดขายของ e:N1 ที่ฮอนด้าเน้นย้ำมาตลอดตั้งแต่เราได้ไปทดลองขับที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา คือ คาแร็กเตอร์การขับขี่ที่นุ่มนวลใกล้เคียงกับรถสันดาป แม้ว่าจะเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ก็ตาม ซึ่งจะทำให้ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องปรับตัวมากนัก หากที่บ้านมีรถฮอนด้าอยู่แล้ว ก็สามารถสลับมาขับ e:N1 ได้ทันที และยังสลับไปขับรถคันเดิมที่บ้านได้โดยไม่รู้สึกถึงความแตกต่างมากนัก
ซึ่งคาแร็กเตอร์ดังกล่าว จะรู้สึกได้ทันทีที่เริ่มออกตัว เพราะแทนที่จะเซ็ตคันเร่งเพื่อรีดอัตราเร่งที่ปรู๊ดปร๊าดเหมือนกับรถไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ นั้น ฮอนด้ากลับเลือกเซ็ตให้สามารถออกตัวได้อย่างนุ่มนวล มี Linear ในการรีดกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวล ไม่กระชาก แต่เมื่อต้องการเพิ่มความเร็วก็สามารถเพิ่มน้ำหนักคันเร่ง แรงบิดกว่า 310 นิวตัน-เมตร ก็สามารถส่งให้ตัวรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว
แต่อย่างเพิ่งเข้าใจผิดว่าฮอนด้าทำรถไฟฟ้าได้ไม่แรงเท่ารถจีน ก็เลยออกมาพูดขายของเชิงการตลาดสร้างภาพลักษณ์ให้รถตัวเองดูดีขึ้นมานะครับ เพราะหากเปลี่ยนเป็นจากโหมด Normal เป็นโหมด Sport ผ่านปุ่ม Drive Mode ที่อยู่ใกล้กับปุ่มเบรกมือไฟฟ้าแล้วล่ะก็ คาแร็กเตอร์การขับขี่ของ e:N1 ก็ถูกเปลี่ยนให้มีความกระฉับกระเฉงมากขึ้น สามารถรีดพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าได้รวดเร็วและรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เท่าที่ทดสอบในโหมด Sport ทำได้ราว 7.5 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่เคลมเอาไว้เสียอีก
ส่วนความเงียบภายในห้องโดยสารนั้น ต้องยอมรับว่าการใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจะไม่มีเสียงและแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ก็จริง แต่ e:N1 คันที่เราได้ทดสอบกลับพบว่ามีเสียงมอเตอร์ครางให้ได้ยินเบาๆ และจะชัดเจนที่สุดในช่วงความเร็วประมาณ 85-90 กม./ชม. ซึ่งถ้าหากเราแช่ความเร็วนั้นเอาไว้ ก็จะมีเสียงมอเตอร์แทรกเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องน่าซีเรียสอะไรนัก แต่เมื่อใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ก็คาดหวังว่าจะได้สัมผัสกับความเงียบมากกว่านี้
นอกจากนี้ หากเป็นผู้โดยสารตอนหลังก็สัมผัสได้ถึงเสียงยางบดพื้นถนนที่แทรกเข้ามายังห้องโดยสารตั้งแต่ช่วงความเร็ว 90 - 100 กม./ชม. และจะดังขึ้นเรื่อยๆ ตามความเร็วที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการหายไปของเสียงเครื่องยนต์ ส่งผลให้ได้ยินเสียงจากพื้นถนนค่อนข้างชัดเจน
ขณะที่ช่วงล่างของ e:N1 ก็ถูกเซ็ตมาค่อนข้างลงตัว มีความนุ่มนวลและหนักแน่นกว่า HR-V อยู่พอสมควร ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะน้ำหนักของแบตเตอรี่ที่ถูกติดตั้งไว้ใต้ท้องรถ ทำให้บาลานซ์ของตัวรถค่อนข้างดี หากขับด้วยความเร็วสูงก็ไว้ใจได้ หรือหากวันไหนต้องพาครอบครัวที่มีผู้ใหญ่เดินทางไปด้วย ก็นุ่มสบายพอที่จะไม่โดนบ่นอย่างแน่นอน
ส่วนการใช้งานของแบตเตอรี่นั้น เราเริ่มต้นเดินทางออกจากสำนักงานใหญ่ของฮอนด้าที่นิคมบางชัน ด้วยปริมาณแบตเตอรี่ 98% หน้าจอโชว์ระยะทางขับขี่คงเหลือ 414 กม. มุ่งหน้าสู่เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก ใช้ความเร็วตามการจราจรปกติ ช้าบ้างเร็วบ้าง แต่ท็อปสปีดไม่เกิน 120 กม./ชม. เมื่อถึงจุดหมายใช้ระยะทาง 115 กม. ปริมาณแบตเตอรี่คงเหลืออยู่ที่ 71% หน้าจอโชว์ระยะทางคงเหลือ 308 กม. พร้อมกับแสดงอัตราการกินไฟอยู่ที่ 6.5 กม. ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh)
หากคำนวณแบบคร่าวๆ แปลว่าแบตเตอรี่ 1% จะสามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางประมาณ 4.2 กิโลเมตร หมายความว่าหากขับ e:N1 ด้วยแบตเตอรี่เต็ม 100% จนกระทั่งแบตเกลี้ยง ก็น่าจะได้ระยะทางขับขี่ราว 400+- กม. ตามที่ปรากฏบนหน้าจอจริงๆ
รถไฟฟ้าที่เหมาะสำหรับการใช้งานในครอบครัว
หากจะกล่าวโดยสรุปแล้ว Honda e:N1 ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าใช้งานมากที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดขณะนี้ ด้วยชื่อชั้นของแบรนด์ฮอนด้าที่ไว้ใจได้ถึงคุณภาพและมาตรฐานการผลิต ห้องโดยสารกว้างขวางภายใต้บอดี้ขนาดกะทัดรัด จะใช้งานคนเดียวในวันธรรมดา หรือพาครอบครัวไปเที่ยวช่วงวันหยุดก็ได้ ส่วนออปชันก็มีให้แบบครบๆ โดยเฉพาะหน้าจอ 15.1 นิ้ว ที่ใช้งานง่าย และดีมากพอที่ฮอนด้าควรนำมาใช้เป็นมาตรฐานในรถรุ่นอื่นๆ
แต่แอบน่าเสียดายที่ Honda e:N1 ถูกวางจำหน่ายด้วยระบบเช่าระยะยาวเท่านั้น ซึ่งเท่าที่ทราบสัญญาเช่าสูงสุดจะอยู่ที่ 60 เดือน หรือ 5 ปี ขณะที่ใครหลายคนอาจจะอยากเก็บรถเอาไว้นานกว่านั้น ส่วนใครที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้า และพร้อมที่จะจ่ายเงินเดือนละราว 3 หมื่นบาท โดยไม่แคร์ว่าจะต้องเป็นเจ้าของเมื่อครบอายุสัญญา รถคันนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากทีเดียวครับ
หมายเหตุ: บริษัทเช่ารถที่ให้บริการเช่า Honda e:N1 ประกอบด้วย
- Krungthai Car Rent
- CH Pattana
- Sumitomo Mitsui Auto Leasing
- Bizcar Rental
- Easy Car
- Orix
- Hertz
- Chic Car Rent
- Phatra Leasing
- Master Car Rental
- Budget
- Payless Car Rental
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.