รถจีน vs รถจีน
จบจากงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” หรือ MOTOR EXPO 2023 สิ่งที่เป็นที่ฮือฮาในพื้นที่ข่าว คือยอดจองรถในงาน ที่แบรนด์รถจากจีนที่เป็นไฟฟ้าล้วน (EV) ทำยอดจองพุ่งกระฉูดแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนครับ โดยแม้ว่าหลังจบวันสุดท้าย อันดับ 1 และ 2 ยังคงเป็นสองค่ายญี่ปุ่นอย่างโตโยต้าและฮอนด้า แต่หากดู 10 อันดับแรก รถจีนทำยอดจองแซงรถญี่ปุ่นไปแล้ว!
หากรวมตัวเลขในตาราง ยอดจองกลุ่มท็อปเท็น 20,644 คัน คือยอดจองรวมกันของค่ายรถจีน ซึ่งแน่นอนว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นไฟฟ้าล้วน (ยังมี MG และ GWM บางรุ่นที่เป็นรถไฮบริด และมีเครื่องยนต์สันดาปเป็นส่วนประกอบ) ขณะที่ค่ายรถญี่ปุ่นมียอดจองรวมกัน 20,271 คัน ซึ่งหากจะบอกว่าตลาดรถยนต์บ้านเรา รถจีนผงาดเหนือรถญี่ปุ่นไปแล้วก็คงจะไม่ผิดนักครับ
หนึ่งในคำถามจากคนใกล้ตัวที่ถามผมเข้ามาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ ระหว่าง BYD ATTO 3 กับ AION Y PLUS ควรซื้อรุ่นไหนดี? นั่นหมายความว่า ตอนนี้เขาไม่ได้มองไปที่รถสันดาปแล้ว แต่มองไปที่ EV อย่างเดียว เท่ากับว่าสมรภูมิรถยนต์ในงาน MOTOR EXPO รอบนี้ แต่ละคนมีธงของตัวเองว่าจะไปทางรถไฟฟ้า ซึ่งปฏิเสธไม่ได่ว่าในงบ 1 ล้านบาท ก็มีแต่ยี่ห้อจีนเท่านั้นครับที่ทำได้
ขณะที่เพื่อนผมอีกคนหนึ่งที่ได้บัตรเข้าไปดูงาน ก็บอกไว้ก่อนเลยว่าจะเข้าไปเดินดูรถ EV สักหน่อย นั่นก็เท่ากับว่ากระแสรถไฟฟ้าในบ้านเรากำลังมาอย่างต่อเนื่อง และที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือเจ้าตลาด EV จากสหรัฐฯ อย่าง Tesla ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยโผล่ไปงานแสดงรถยนต์ในบ้านเราแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ทำตลาดในเมืองไทย ยังมาออกบูธในงานนี้ด้วย
อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ในคอลัมน์นี้เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ว่าเราปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้รถไฟฟ้าจะมีแนวคิดเพื่อลดการปล่อยมลพิษ แต่ด้วยความเคารพครับ เหตุจูงใจของผู้ซื้อไม่มีใครเขามองจุดนั้นหรอกครับ จุดที่ทำให้คนหันมาสนใจ EV ก็คือเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายในการเติมเชื้อเพลิง เพราะหากเทียบกันแล้ว การจ่ายค่าชาร์จไฟจะถูกกว่าเติมน้ำมันถึง 5 เท่า
กลับมาไล่ดูตัวเลขยอดจองกันอีกครั้ง ผมเองยอมรับว่าไม่ได้เซอร์ไพรส์ตอนที่ BYD ทำยอดเหนือโตโยต้าเมื่อผ่านครึ่งทางแรก เพราะที่ผ่านมา BYD ก็ทำตลาดและสร้างชื่อขึ้นมาอยู่หลายรุ่น แม้จะมีปัญหาบ้างในบางคัน แต่คนส่วนใหญ่รู้ว่านี่คือค่ายรถไฟฟ้าเบอร์หนึ่งของจีน และมีเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบ Blade Battery ที่ Tesla ยังไม่สามารถทำได้
ทว่าสองยี่ห้อจากจีนที่มาแรงชนิดเหนือความคาดหมายก็คือ AION กับ CHANGAN ทำยอดจองหลังจบงานอยู่ในอันดับที่ 4 และ 6 ตามลำดับ มียอดจองรวมกันที่ 8,117 คัน ทั้งที่เพิ่งจะเปิดตัวและทำตลาดในบ้านเราได้ไม่นาน นั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่าตลาด EV ในเมืองไทย เป็นการสู้กันเองของค่ายรถสัญชาติจีน โดยที่ค่ายญี่ปุ่นทำได้แค่มองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
ซึ่งกลยุทธ์ในการเข้ามาของ 2 ผู้เล่นหน้าใหม่นี้ ก็ไม่ได้ต่างจาก BYD สักเท่าไรครับ โดยเฉพาะการใช้ดีลเลอร์เจ้าเก่า ๆ ที่มีอยู่แล้วในบ้านเราจัดจำหน่ายและดูแลหลังการขาย อาทิ CHANGAN ที่ตามรายงานบอกว่าได้ดีลเลอร์ระดับพรีเมียมอย่าง AAS ที่ขายรถยุโรปแบรนด์อย่าง ปอร์เช่ เบนท์ลีย์ มาช่วยดูแลการขายอีกด้วย
ไม่เพียงแค่ในบ้านเราครับ ตัวเลขยอดส่งออกรถยนต์ทั่วโลก หากย้อนไป 5 ปีที่แล้ว รถจีนยังตามหลังรถญี่ปุ่น รถยุโรป และรถเกาหลีใต้อยู่เลย ตอนนี้กำลังจะแซงรวบขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก เรียกได้ว่ากำลังผลิตรถ EV ที่มีมหาศาล บวกกับแหล่งวัตถุดิบที่สามารถทำราคาได้ถูกกว่า ทำให้อุตสาหกรรมรถของจีนผงาดขึ้นมาภายในเวลาอันรวดเร็ว
สุดท้ายคงต้องบอกว่านี่คือนาทีทองของรถ EV จากจีน ที่คาดว่าจะทำยอดขายแบบนี้ต่อไปได้อีกหลายปีครับ ส่วนค่ายรถญี่ปุ่นที่แม้บางค่ายจะพัฒนาแบตเตอรี่ Solid State ที่ทำวิ่งได้ยาวร่วม 1,000 กิโลเมตรได้สำเร็จแล้ว แต่ยังไม่สามารถทำต้นทุนให้สู้กับรถจีนได้ ก็เชื่อว่าพวกเขาก็จะยังคงยึดแนวทางไฮบริดต่อไปได้อีกเรื่อย ๆ
เพราะหากค่ายญี่ปุ่นจะลงมาสู้ตลาดรถ EV กับรถจีนจริง ๆ ชั่วโมงนี้คงมีแต่แพ้อย่างเดียวครับ
ผู้เขียน: ธันยเดช เกียรติศิริ
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.