จับตาวาระโหวตเลขาฯกสทช.หลัง 4 บอร์ดเสียงข้างมากถูก “ไตรรัตน์” ฟ้องอาญา
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แจ้งวาระการประชุมบอร์ดกสทช.วันที่ 21 ก.ย.2566 ซึ่งเป็นการประชุมสัญจรครั้งแรกที่ จ.นครพนม พบว่ามีวาระค้างพิจารณาอยู่ 37 วาระ โดยมีเรื่องที่น่าสนใจ เช่น การแต่งตั้งเลขาธิการกสทช.และร่างโครงสร้างสำนักงานกสทช. และเรื่องที่เสนอพิจารณา 16 วาระ เช่น การรายงานการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด และ บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) รวมถึงการอนุมัติปรับแผนงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2566 ,เห็นชอบการปรับปรุงประมาณการรายรับ ประจำปี 2566 และประจำปี 2567 และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายรับ-รายจ่าย ประจำปี 2567 เป็นต้น
ทว่าสิ่งที่บอร์ดกสทช.กำลังถูกจับตามองคือวาระเรื่องการเลือกเลขาธิการกสทช.คนใหม่ ซึ่งในการประชุมสัญจรครั้งนี้ บอร์ดเสียงข้างมากทั้ง 4 คน ประกอบด้วย พล.อ.ท.ธนพันธ์ หร่ายเจริญ ,น.ส.พิรงรอง รามสูต , นายศุภัช ศุภชลาศัย และนายสมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ ไม่ได้เดินทางไปด้วย แต่จะใช้วิธีการประชุมออนไลน์แทน
แหล่งข่าวจากกสทช.ระบุว่า เมื่อถึงวาระดังกล่าวกสทช.เสียงข้างมากทั้ง 4 คน จะไม่สามารถโหวตได้ หากประธานกสทช.ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ เสนอชื่อ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล เป็นเลขาธิการกสทช.
เนื่องจากก่อนหน้านั้น นายไตรรัตน์ รักษาการเลขาธิการกสทช.และรองเลขาธิการ กสทช. ฟ้องคดีอาญา กับกสทช.ทั้ง 4 คน ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
จากกรณีที่เมื่อการประชุม กสทช. วันที่ 23 ม.ค.66 กรรมการ กสทช.ทั้ง 4 คน ลงมติเสียงข้างมากปลด นายไตรรัตน์ จากรักษาการเลขาธิการ กสทช. จนกว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอนุมัติเงินเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ ;(กทปส.) สนับสนุนการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก จำนวน 600 ล้านบาท
โดย นายไตรรัตน์ บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันมีมติปลดโจทก์ออกจากตำแหน่ง โดยไม่มีกฎหมายรองรับให้กระทำได้ แล้วเผยแพร่ข่าวแก่สื่อมวลชนทันที ทำให้โจทก์เสียหาย จากนั้นก็ตั้งจำเลยที่ 5 เป็นรักษาการเลขาธิการ กสทช.แทน ทำให้โจทก์เสียหายกระทบต่อการทำงาน โดยศาลรับคดีไว้เพื่อตรวจคำฟ้อง และให้นัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา ในวันที่ 3 ต.ค.66
ดังนั้น กสทช.ทั้ง 4 คน มีลักษณะเป็นคู่กรณีกับ นายไตรรัตน์ ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 13 และหากมีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา ในระหว่างการพิจารณาให้ความเห็นชอบผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ที่คาดว่า นายไตรรัตน์ จะได้รับการเสนอชื่อ หรือ นายไตรรัตน์ ทำการคัดค้านด้วยตัวเอง ก็อาจทำให้กรรมการ กสทช.ทั้ง 4 คน ต้องหยุดการพิจารณาตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ และอาจต้องมีการพิจารณาว่า จะต้องออกจากที่ประชุม ทำให้องค์ประชุม กสทช.จะเหลือเพียง 3 คน ให้ความเห็นชอบผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช.
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.