เก็ง 7 หุ้น รับอานิสงส์ “ราคาสินค้าโภณภัณฑ์” ดีดตัวแรง
บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.2566 ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ Commodity ปรับขึ้นแรงเกือบทุกชนิด จากสาเหตุการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมขั้นปลายทั้งตลาดในและต่างประเทศ หนุน Demand เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ ในช่วงครึ่งหลังปี 2566 เป็นต้นไป
โดยค่าระวางเรือ (BADI) ปรับขึ้น 9.2% (mtd) ดีต่อหุ้นกลุ่ม Logistic อาทิ PSL, TTA, WICE, III และ SJWD ซึ่งผลประกอบการช่วงครึ่งหลังปี 2566 มีโอกาสดีกว่าครึ่งปีแรก จากการเข้าสู่ช่วง HIgh season ของหุ้นกลุ่มนี้
สำหรับราคายางแท่ง/ยางแผ่น ปรับขึ้น 3.5%-6% (mtd) จากความคาดหวังได้แรงเสริมจากมาตรการภาครัฐฯ ในการรักษาเสถียรภาพราคายาง ดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออกยาง อาทิ STA, TRUBB และ NER
เช่นเดียวกัน ราคาน้ำตาล ปรับขึ้น 5% (mtd) จากรัฐบาลอินเดียเตรียมประกาศห้ามส่งออกน้ำตาลฤดูกาลหน้า (ต.ค.2566) ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่สุดของโลกหนุน Supply ลดลง ดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออกน้ำตาล อย่าง KSL และ KTIS
และ ราคาน้ำมันดิบ BRENT WTI ปรับขึ้น 4.3%-4.6% (mtd) จากความกังวลภาวะน้ำมันตึงตัวจากกลุ่ม OPEC+ ประกาศปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มฯ ลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2566 รวมถึงการประกาศขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของซาอุดิอาระเบียโดยสมัครใจจำนวน 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่เดือน ก.ค. ล่าสุดได้ขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจออกไปจนถึงสิ้นปี 2566 เช่นกัน ทำให้ซาอุดิอาระเบียจะผลิตน้ำมันที่ 9 ล้านบาร์เรลต่อวัน อีกทั้งในส่วนของรัสเซียก็ประกาศว่าจะลดการส่งออกน้ำมัน 3 แสนบาร์เรลต่อวัน ไปถึงสิ้นปี 2566 ด้วย
จากประเด็นต่างๆ ที่กล่าวข้างต้นสะท้อนให้เห็นมุมมองการควบคุมระดับราคาโดยผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกให้อยู่ในระดับที่พึงพอใจราว 85-95 เหรียญฯต่อบาร์เรล (กำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม OPEC+ คิดเป็นประมาณ 40% ของกำลังการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก)
ประกอบกับช่วงสั้นๆ ยังมีแรงหนุนจากความคาดหวังว่าความต้องการการใช้น้ำมันจะฟื้นตัว หลังมีรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนที่ค่อยๆ ดีขึ้น รวมถึงความคาดหวังเศรษฐกิจโดยรวมของโลกจะฟื้นตัว อีกทั้งล่าสุดกลุ่มโอเปก คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 2.44 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 102.06 ล้านบาร์เรลต่อวัน และในปี 2567 คาดอุปสงค์น้ำมันจะเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 104.31 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ดังนั้นทุกประเด็นก็ล้วนเป็นปัจจัยบวกหนุนราคาน้ำมันให้ยังอยู่ในกรอบสูง ซึ่งถือเป็นผลบวกโดยตรงต่อกลุ่มผู้ผลิตและสำรวจปิโตรเลียมหลักที่มีรายได้แปรผันตามราคาปิโตรเลียม ได้แก่ PTTEP รวมถึงกลุ่มโรงกลั่นที่การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบโดยปกติแล้วจะส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวขึ้นตาม ประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบัน supply น้ำมันสำเร็จรูปที่ออกจากโรงกลั่นค่อนข้างตึงตัว อีกทั้งผู้ประกอบการต่างมี inventory ที่ต่ำ จึงส่งผลให้ค่าการกลั่นในปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูง 10-14 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งภาพรวมค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูงก็เป็น sentiment เชิงบวกต่อหุ้นทุกตัวที่อยู่ในกลุ่มโรงกลั่น ทั้ง TOP, SPRC, BCP, ESSO, PTTGC, IRPC
ดังนั้น ราคา commodity ปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.2566 และมี momentum ปรับตัวขึ้นต่อ จาก Demand ที่โอกาสฟื้นตัว และ Supply ที่หดหาย กลยุทธ์การลงทุนเน้นกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว ชอบ III, SJWD, STA, NER, KSL, PTTEP และ TOP เป็นต้น
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.