‘ทุนจะไหลไปไหน?’ จากมุมมองของ ‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ เครือเจริญโภคภัณฑ์

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ขึ้นกล่าวในหัวข้อ Shaping Thailand’s Sustainable Future  งาน Sustainability Forum 2025 : Synergizing for Driving Business จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ  ระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม 2567 ณ สยามพารากอน ว่า

 

องค์กรสหประชาชาติได้ประกาศเป้าหมายของความยั่งยืนไว้และตั้งเป้าหมายความสำเร็จที่ปี 2030 อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาทั่วโลกทำได้เพียงแค่ 17% และยังไม่ครอบคลุมทุกมิติ ทำให้สหประชาชาติเกิดการเรียกร้องภายใต้คำนิยามใหม่ว่า Forward Faster คือ ไปให้เร็วขึ้นอีก โดย 1 ใน 5 เรื่องที่ทางสหประชาชาติประกาศเพื่อให้บรรลุเป้าหมายให้เร็วขึ้น คือ จะทำอย่างไรให้ทุนหลั่งไหลเข้าไปเพื่อทำให้ SDGs บรรลุเป้าหมายได้ โดยมองว่าต้องการทุนอีกว่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

 

ทั้งนี้ นายศุภชัยกล่าวว่าโลกจะขับเคลื่อนไปในแนวทางที่เรียกว่า 3D คือ

Digitalization การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมองว่าเทรนด์นี้จะทำให้เกิดเงื่อนไขสำคัญคือ ‘การใช้พลังงาน’ ซึ่งเชื่อมโยงกับประเด็น Climate Change ว่าต้องเป็นพลังงานสะอาด

“ ประเทศไทยก็ได้รับอานิสงส์ดังกล่าว อย่างเช่น Data Center เดิมอยู่ที่สิงคโปร์ แต่หลังจากนี้สิงคโปร์บอกว่าไม่มีพื้นที่และพลังงานสะอาดเพียงพอ จึงเกิดการอพยพของการตั้ง Data Center มาที่มาเลเซีย ทำให้ 5 ปีที่ผ่านมา มาเลเซียมีการลงทุนดังกล่าวมากกว่าไทยถึง 1:10 เท่า แต่ขณะนี้เงินลงทุนดังกล่าวกำลังจะมาประเทศไทยในอัตรา 1:1 หรือมากกว่า

สาเหตุมาจากปัจจัยทางสงครามศาสนา ทุนใหญ่ๆ จากอเมริกาจึงมองว่าควรจะลงทุนในประเทศที่ให้ความสำคัญกับ ‘ความหลากหลาย’ จึงมองมาที่ประเทศไทย โดยในระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา การลงทุนเกินกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญ"

 

นอกจากนี้ นายศุภชัยยังกล่าวถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการผลักดันการใช้ 'พลังงานนิวเคลียร์' โดยมองว่ากลุ่มประเทศที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์มากที่สุดคือยุโรป ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา และจีนกำลังจะผลักดันการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างเต็มที่ เปลี่ยนจากการใช้พลังงานจากถ่านหินซึ่งแต่เดิมใช้อยู่มากกว่า 61% เพราะเกิดการต่อต้านขึ้น

 

“ พลังงานนิวเคลียร์ อาจเคยถูกมองว่าเป็นตราบาป แต่เรากำลังพูดถึงพลังงานนิวเคลียร์เพื่อพลังงานไม่ใช่เพื่อสงคราม มันควรจะเป็นพลังงานที่นำมาใช้หรือไม่” นายศุภชัยตั้งคำถาม

 

โดยกล่าวเสริมว่า ยิ่งเศรษฐกิจขับเคลื่อนไปสู่ดิจิทัลมากเท่าไหร่ ความต้องการใช้พลังงานจะมากขึ้นเท่านั้น

 

“ ลองจินตนาการว่า ถ้าทุกบ้านทุกโรงงานมีหุ่นยนต์ ใช้ AI เราจะใช้ไฟกันอีกขนาดไหน”

 

ต่อมาคือ Deglobalization  ซึ่งทำให้ห่วงโซ่อุปทานของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากนโยบาย China + 1  ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนในประเทศจีนมองว่าไทยไม่มีการกีดกันทางการค้า และหันมาลงทุนมากขึ้น ทั้งในเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภค ความมั่นคงทางอาหาร รวมไปถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

 

และสุดท้ายคือ Decarbonization  โดยนายศุภชัยมองถึงความรุนแรงของสถานการณ์การปล่อยคาร์บอนว่า สหประชาชาติรายงานว่าปัจจุบันอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นถึง 1.45 องศาเซลเซียส และน่าจะทะลุไปถึง 3 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น 6 เมตร อย่างไรก็ตามถ้าขั้วโลกใต้น้ำแข็งละลายหมดเช่นกัน จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 60 เมตร ซึ่งโลกเคยเจอมาแล้ว คือในยุค Ice Age

สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ประชากรอดอยาก จะสูงขึ้นถึง 1,700 ล้านคน หากอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 3 องศาเซลเซียส จากประชากร 8 พันล้านคนทั่วโลก

 

“เราพูดถึงปริมาณข้าวโพด ข้าวสาลี ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบของอาหารทั้งหมด เพราะเป็นอาหารของสัตว์ สิ่งเหล่านี้จะถดถอย เราต้องลงทุนมหาศาลเพื่อที่จะทดแทนในพื้นที่ที่เกิดภัยแล้งและภัยน้ำท่วม“ นายศุภชัยกล่าว

 

นอกจากนี้ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ยังชี้ให้เห็นถึงการลงทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ตั้งเป้า Net Zero ในปี 2030-2050 ซึ่งทำให้เห็นการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น Google ลงทุนในเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ หรือ Walmart มีนโยบาย Green Fund ให้กับซัพพลายเออร์

ทั้งนี้ ทางด้านเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ตั้งเป้า Net Zero ไว้ที่ปี 2050 ซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

 

ในปี 2024 เราลดการปล่อยคาร์บอนเครดิตได้ไม่ถึงเป้าหมาย ห่างเป้าหมายไป 0.5 ล้านตัน ซึ่งทำให้ต้องซื้อคาร์บอนเครดิต เพื่อทดแทนเป้าหมายที่เราเข้าไม่ถึง ส่วนใหญ่มาจากการปลูกป่า เป็นต้น

และส่วนที่เรากำลังทำคือ ‘Data Center’ เราจะมีการทดสอบว่ามีพลังงานสะอาดกี่ส่วน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยกำลังได้อานิสงส์ เพราะเราให้สัญญาว่าเราจะมีพลังงานสะอาดเข้ามาทดแทน“

 

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.