“นายกฯ” ปลื้มไทยเนื้อหอม นักธุรกิจโลกแห่ลงทุน ดันยอดขอลงทุนพุ่งสูงสุดรอบ 10 ปี

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงาน จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI ว่า มีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจลงทุนเป็นจำนวนมากและได้กำชับให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสนับสนุนการลงทุนในประเทศไทยเร่งดำเนินนโยบายและแนวทางอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพและเพิ่มปริมาณการเข้าลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้น
 
      นายจิรายุกล่าวต่อว่า  บีโอไอ ได้รายงานว่ามีตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 พบว่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวนมากถึง 2,195 โครงการเพิ่มขึ้น 46% (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
 

       ส่วนมูลค่าเงินลงทุนมีมากถึง 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 42 ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีประมาณ 5 แสนล้าน  โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า ปัจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนในภูมิภาคนี้และการขอรับการลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรกโดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเป็นอันดับ 1มี มูลค่า กว่า 1.8 แสน กลุ่มดิจิทัล มูลค่า 9 หมื่นกว่าล้านบาท อันดับ3 เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มีมูลค่าประมาณ 6.7 หมื่นล้านบาท กลุ่มเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 5.2 หมื่นล้านบาท และ อันดับ5 เป็น กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มีมูลค่าประมาณ 3.4 ล้านบาท
 

      สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ล่าสุด มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้น 66% เงินลงทุนรวมกว่า 5.4แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% โดยประเทศที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรกคือ  สิงคโปร์ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท จีน 1.1แสนล้านบาท ฮ่องกง 6.8 หมื่นล้านบาท ไต้หวัน 4.4 หมื่นล้านบาท และญี่ปุ่น 3.5 หมื่นล้านบาท  และพบว่าเงินลงทุนสูงสุดอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก อาทิ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา 4.08 แสนล้านบาท ภาคกลาง 2.2 แสนล้านบาท ภาคเหนือ 3.5 หมื่นล้านบาท ภาคใต้ 2.5 หมื่นล้านบาท ภาคอีสาน2.3หมื่นล้านบาท และภาคตะวันตก 8.8 พันล้านบาท 

 

      ส่วนการขอรับการส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยสนับสนุน “ผู้ประกอบการรายเดิมให้สามารถปรับตัว” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้นั้น มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 287 โครงการ เงินลงทุนรวม 2.7หมื่นล้านบาท รวมทั้งการออกบัตรส่งเสริมในช่วง 9 เดือนแรกของปี มีจำนวน 2,072 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เงินลงทุน 6.72 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า100% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ทั้งนี้ การออกบัตรส่งเสริมเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด โดยปกติบริษัทต่าง ๆ จะเริ่มทยอยลงทุนภายใน 1 - 3 ปี หลังจากออกบัตรส่งเสริม

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.