ดักทางงบ 2Q67 "หุ้นพลังงาน" น่าซื้อ หรือ เลี่ยง ?

     เข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะเริ่มจาก "กลุ่มธนาคาร (BANK)" ที่จะประกาศงบฯก่อนใครเพื่อน ลำดับต่อมาที่นักลงทุนจับตานั่นก็คือ "กลุ่มพลังงาน" เนื่องด้วยเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีน้ำหนักสูงสุดในตลาดหุ้นไทย

     ก่อนอื่น รู้จัก "หุ้นพลังงานและปิโตรเคมี" เริ่มจาก "ธุรกิจพลังงานต้นน้ำ" พวกที่ทำขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซ (PTTEP, BANPU) จากนั้นนำไปสู่ "กลางน้ำ" ที่นำต้นน้ำมากลั่น หรือที่เรารู้จักคือ "โรงกลั่น , ปิโตรเคมี" (SPRC , IRPC , TOP , BCP) ขณะที่ IVL , GGC , SCC ไม่มีธุรกิจการกลั่น และสุดท้ายคือ "ปลายน้ำ" ที่ได้ผลิตภัณฑ์กลางน้ำมาขายใน สถานีบริการน้ำมัน (OR , PTG , BCP) 

     ขณะที่ "หุ้นโรงไฟฟ้า" สิ่งที่ต้องรู้ ข้อแรก คือ เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าแบบไหน ถ้าเป็น "ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่(IPP)" จะมีกําลังการผลิตมากกว่า 90 เมกะวัตต์ ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รองลงมาคือ "ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก(SPP)" จะมีกําลังผลิต 10-90 เมกะวัตต์ กลุ่มนี้จะผลิตไฟฟ้าขายให้ กฟผ. และขายไฟฟ้าโดยตรงให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ สุดท้าย คือ "ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กมาก(VSPP)" กลุ่มนี้จะมีกำลังการผลิตน้อยกว่า 10 เมกะวัตต์ ขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)

     ข้อสอง ปัจจัยบวกที่มีผลต่อราคาหุ้นโรงไฟฟ้า คือ "ปรับขึ้นค่าเอฟทีและค่าไฟ , ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติลดลง , การเดินเครื่องโรงไฟฟ้าใหม่ๆ , ฤดูร้อน ช่วยให้ใช้ไฟเพิ่มขึ้น และ Bond Yield ลดลงช่วยให้ต้นทุนของโรงไฟฟ้าลดลง" ทั้งหมดนี้ช่วยให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่.. ในทางกลับกันหากขยับในทิศทางตรงกันข้ามจะกดดันราคาหุ้นร่วงได้เช่นกัน

     นอกจากนี้ เรื่องของ "นโยบายภาครัฐ และธุรกิจพลังงานสะอาดที่เป็นเมกะเทรนด์โลก" คงเป็นทั้งปัจจัยบวกและลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานที่ไม่มีการปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์โลก หรือ จำกัดกรอบราคาเพื่อช่วยเหลือประชาชน เป็นต้น  

     กลับมาที่ "หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG)" ในตลาดหลักทรัพย์ฯมีจำนวน 63 หุ้น ซึ่ง "ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์" เน้นเจาะลึกเพียง 10 อันดับหุ้นในกลุ่มฯที่มีมูลค่าตามราคาตลาด(Market Caps.)สูงสุด พร้อมอ้างอิงบทวิเคราะห์ที่คาดการณ์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 มีรายละเอียดดังนี้

 

     ฝ่ายวิจัย บล. เอเซีย พลัส รวบรวมคาดการณ์กำไรงวด 2Q67 จาก BLOOMBERG CONSENSUS ล่าสุดออกมาแล้ว 99 บริษัท คิดเป็น 70% ของ MARKET CAP รวม พบว่ามีโอกาสที่จะเห็นกำไรงวด 2Q67F เติบโต 16.1%YOY และ 2.4%QOQ หากคัดเฉพาะหุ้น ENERG ที่กำไรงวด 2Q67 มีโอกาสเติบโตทั้ง QOQ และ YOY คือ "GULF" กำไรไตรมาส 2/67 คาดทำได้ 5,927 ล้านบาท เติบโต 69% QOQ และเติบโต 105% YOY , "GPSC" กำไรไตรมาส 2/67 คาดทำได้ 1,542 ล้านบาท เติบโต 78%QOQ และเติบโต 399%YOY , "CKP" กำไรไตรมาส 2/67 คาดทำได้ 79 ล้านบาท เติบโต Turnaround QOQ และเติบโต 4,309% YOY

     และ หุ้นพลังงานที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล(Dividend Yield)ในปีนี้สูงกว่า 4% น่าซื้อสะสมสำหรับนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศในช่วงนี้ คือ PTT ราคานับตั้งแต่ต้นปีจนวันนี้ ลดลง -7.7% ปันผล 6.2%ต่อปี , PTTEP ราคานับตั้งแต่ต้นปีจนวันนี้ ลดลง -2% ปันผล 5.8%ต่อปี , TOP ราคานับตั้งแต่ต้นปีจนวันนี้ เพิ่มขึ้น 3.7% ปันผล 4.7%ต่อปี , EGCO ราคานับตั้งแต่ต้นปีจนวันนี้ ลดลง -19.5% ปันผล 6.5%ต่อปี , RATCH ราคานับตั้งแต่ต้นปีจนวันนี้ ลดลง -11.9% ปันผล 5.9%ต่อปี , IVL ราคานับตั้งแต่ต้นปีจนวันนี้ ลดลง -29.5% ปันผล 4.3%ต่อปี

งบไตรมาส 2/67 หุ้น PTT-BCP-EGCO

     PTT กำไรประคองตัว PTTEP ดีขึ้นแต่โรงกลั่นแย่ลง เบื้องต้นฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2567 ของ "PTT" ที่ 8.7 หมื่นล้านบาท ลดลง 21.9%yoy ภายใต้สมมติฐานรวมผลกระทบการปรับราคาก๊าซธรรมชาติใหม่เป็น SINGLE POOL GAS ซึ่งกระทบ PTT หากต้นทุนก๊าซฯที่ใช้ในโรงแยกก๊าซฯเพิ่มขึ้นราว 1-2 เหรียญฯต่อล้านบีทียู จะกระทบต่อกำไรของ PTT ราว 1.5-2.0 หมื่นล้านบาทต่อปี อีกทั้งได้รวมผลกระทบจากการเรียกเก็บเงิน SHORTFALL 4.3 พันล้านบาท คืนให้กับภาครัฐด้วย ซึ่งบันทึกในงบ 1Q67 แต่ยังไม่รวม SHORTFALL รอบ 2 ราว 4.7 พันล้านบาท ในประมาณการ ทำให้ประมาณการปัจจุบันของฝ่ายวิจัยอยู่ภายใต้หลักความระมัดระวังในระดับหนึ่งแล้ว

     ช่วงสั้นคาดแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติงวด 2Q67 จะประคองตัวใกล้เคียงกับงวดก่อนหน้า โดยมีกลุ่มธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้น แต่ก็จะถูกหักล้างจากอีกกลุ่มธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานดลด โดยคาดกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมผ่าน PTTEP จะมีแนวโน้มกำไรปกติในงวด 2Q67 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวด 1Q67 ตามแนวทางที่ PTTEP ให้เป้าหมายปริมาณการขายปิโตรเลียมงวด 2Q67 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 5.14 จาก 4.73 แสนบาร์เรลต่อวันตามปริมาณการโหลดน้ำมันของแหล่งในมาเลเซียที่จะเพิ่มขึ้นตามรอบโหลด และรับรู้โครงการ G1/61 กำลังการผลิต 800 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน เต็มทั้งไตรมาสถึงแม้แนวโน้มราคาขายเฉลี่ยปิโตรเลียมอาจปรับตัวลงเล็กน้อย ตามราคาก๊าซฯเฉลี่ยในงวด 2Q67 ที่จะลดลงเล็กน้อย ขณะที่กำหนดให้ราคาน้ำมันดิบทรงตัว แต่ทั้งนี้อาจถูกกดดันจากธุรกิจโรงกลั่นที่ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ 2QTD67 ที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 3.8 เหรียญฯต่อบาร์เรล สะท้อนค่าการกลั่นในปัจจุบันที่ลดลงมีนัยฯเหลือเพียง 2-4 เหรียญฯต่อบาร์เรล น่าจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงกลั่นย่ำแย่ลง QoQ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีคาดจะค่อยๆทยอยเห็นการฟื้นตัว แต่ความโดดเด่นอาจจะยังไม่เด่นชัด คงต้องรอกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคหลักเช่นจีน แต่ spread กลุ่มไม่น่าจะต่ำกว่าในงวด 1Q67

     ส่วนของทิศทางกำไรสุทธิงวด 2Q67 เบื้องต้นคาดผลกระทบกำไร/ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน รวมถึง FX & Derivatives อาจจะไม่มีนัยฯเท่าที่เกิดขึ้นในงวด 1Q67แต่คาดจะมีโอกาสบันทึกรายการพิเศษเงิน Shortfall รอบ 2 ที่ภาครัฐเรียบเก็บจาก PTT 4.7 พันล้านบาท ในงวด 2Q67 หาก PTT ได้รับหนังสือจากภาครัฐและมีมติอนุมัติจ่าย รวมถึงผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซธรรมชาติใหม่เป็น SINGLE POOL GAS ซึ่งกระทบ PTT จากต้นทุนก๊าซฯที่ใช้ในโรงแยกก๊าซปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งในงบ 1Q67 PTT ยังไม่ได้รวมผลกระทบดังกล่าวในประมาณการ โดยให้เหตุผลว่าอยู่ระหว่างการเจรจากับภาครัฐ ซึ่งหากได้ข้อสรุปในช่วง 2Q67 และต้องดำเนินการใช้ SINGLE POOL GAS ก็จะมีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ม.ค.67 จากการประเมินล่าสุดของ PTT ภายใต้ราคาก๊าซ LNG ในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบ 10-12 เหรียญฯ พบว่าผลกระทบจากการใช้ SINGLE POOL GAS ต่อ PTT อยู่ราว 1 พันล้านบาทต่อเดือน ถือเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม แต่อย่างไรก็ตามจะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายสัดส่วน LNG Terminal เฟส 2 สัดส่วน 50% ให้กับ EGAT ราว 4-5 พันล้านบาท เข้ามาเป็นรายได้พิเศษช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายพิเศษที่อาจจะเกิดขึ้น

     BCP กำไรอ่อนตัวตามค่าการกลั่น เบื้องต้นฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรจากการดำเนินงานปกติปี 2567 ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.4%qoq หนุนหลักจากปริมาณขายในทุกธุรกิจที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2567 เทียบกับปี 2566 ภายใต้การรับรู้โรงกลั่น BSRC เต็มที่ทั้งปีส่งผลให้กำลังการผลิตติดตั้งรวมของ BCP เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.94 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมถึงรับรู้โครงการลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯเต็มที่ทั้งปีด้วยและได้กำหนดสมมติฐานค่าการกลั่นปรับตัวลดลงมาอยู่ราว 6 เหรียญฯต่อบาร์เรล ภายใต้หลักความระมัดระวัง ถึงแม้ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ 1Q67 เฉลี่ยอยู่ที่ 7.3 เหรียญฯต่อบาร์เรล แต่ค่าการกลั่น 2QTD67 เฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 3.9 เหรียญฯต่อบาร์เรล ตามผลของฤดูกาล ภายใต้สภาวการณ์ปกติที่ค่าการกลั่นจะทำระดังสูงสุดของปีในไตรมาส 1 และจะเห็นการอ่อนตัวลงของค่าการกลั่นในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ก่อนที่จะดีดตัวอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวปลายไตรมาส 4 เช่นเดียวกับทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก กำหนดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบตั้งแต่ปี 2567 ที่ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรลลดลงจากปี 2566 ที่ 82 เหรียญฯต่อบาร์เรล (กรอบราคาให้ไว้ใน 1H67จะอยู่ราว 70-80 เหรียญฯต่อบาร์เรล และ 2H67 จะอยู่ราว 75-85 เหรียญฯต่อบาร์เรล)รวมถึงราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกคาดจะอยู่ในทิศทางเดียวกัน ปรับฐานเข้าสู่ Demand และ Supply ที่แท้จริง

    ส่วนแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติงวด 2Q67 คาดมีโอกาสปรับตัวลดลง QoQ จากธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ 2QTD67 ที่เห็นการอ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 3.5-4.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล จาก 7-8 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า 

    ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติมีโอกาสที่แนวโน้มกำไรอาจเพียงประคองตัวตามราคาก๊าซฯและราคาน้ำมันที่ค่อนข้างทรงตัว QOQ เช่นเดียวกับธุรกิจการตลาดคาดจะทรงตัวได้ใกล้เคียงกับงวด 1Q67 มีเพียงธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ถึงแม้คาดกำไรปกติจะอ่อนตัว QoQ จาก Adder ที่จะหมดต่อเนื่องอีก 53 MW แต่คาดมีการกำไรพิเศษขายโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น หนุนกำไรสุทธิเติบโตมีนัยฯได้ ส่วนธุรกิจชีวภาพผ่าน BBGI คาดกำไรปกติจะลดลง QoQ จากทั้งปริมาณขายที่ลดลงหลังผ่านพ้นฤดูท่องเที่ยว รวมถึงการเก็บสต็อกเอทานอลไว้ขายใน 2H67และราคาขายไบโอดีเซลที่คาดลดลงจากผลผลิตปาล์มที่เพิ่มขึ้น 

     "ส่วนแนวโน้มกำไรปกติ 2Q67 คาดมีโอกาสลดลง QOQ จากธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ 2QTD67 ที่เห็นการอ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 3.5-4.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล จาก 7-8 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้าประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 46 บาทต่อหุ้น ยังให้น้ำหนักการลงทุนด้านพื้นฐานตามฤดูกาลของธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ GRM แปรผันตามฤดูกาลภายใต้ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้สามารถ TRADING สะสมขณะที่หุ้นย่อตัว เพราะเชื่อว่าน่าจะเห็นจังหวะการดีดตัวของราคาหุ้นได้เป็นระลอกๆตามทิศทางค่าการกลั่น"

     EGCO ดีแต่ภาพใหญ่ไม่เด่น แนวโน้ม 2Q67 คาดกำไรปกติจะเห็นการฟื้นตัว จากการกลับมาเดินเครื่องเต็มที่ของโรงไฟฟ้าที่หยุดซ่อมบำรุงใน 1Q67จำนวนหลายแห่ง ทั้ง โรงไฟฟ้าขนอม (KEGCO 930 MW – EGCO ถือหุ้น 100%) , โรงไฟฟ้าเคซอน ฟิลิปปินส์ (QPL 460 MW – EGCO ถือหุ้น 100%) , โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP 1.3 พันMW – EGCO ถือหุ้น 50%) ขณะที่ โรงไฟฟ้าเอ็กพีซีแอล (ไซยะบุรี: 1.28 พันMW – EGCO ถือหุ้น 12.5%) กำไรลดลงเนื่องจากปริมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้าลดลง รวมถึงเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน ความต้องการใช้ไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเบื้องต้นยังคงประมาณการ แต่หากมีผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าใดที่ไม่เป็นไปตามคาด ฝ่ายวิจัยพร้อมที่จะทบทวนประมาณการและมูลค่าพื้นฐานใหม่ โดยมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ปัจจุบันอยู่ที่ 150 บาทต่อหุ้น โดยให้น้ำหนักการลงทุนอยู่ที่การจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ปีละ 2 ครั้ง เพราะทิศทางกำไรในระยะ 1-3 ปี ข้างหน้าเป็นการแสวงหาโครงการลงทุนใหม่เพื่อชดเชยโครงการลงทุนเก่าที่อยู่ช่วงท้ายของสัญญา หรือจะทยอยหมดอายุลง จึงยังไม่เห็นปัจจัยขับเคลื่อนที่โดดเด่น

 

PTTEP กำไรหลักยังแกร่ง

     บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะนำ ซื้อ PTTEP ราคาพื้นฐาน 197 บาท คาดกำไรสุทธิ 2Q24F เท่ากับ 19.8 พันล้านบาท ลดลง -6%YoY แต่ +6%QoQ โดยกำไรหลักขยายตัวทั้ง YoY และ QoQ ปัจจัยหนุน คือ ราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเพิ่มขึ้น โดยราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายใน 2Q24F คาดว่าเพิ่มขึ้นโดยประเมินราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้น +4%YoY,+1%QoQ เป็น 47.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ปริมาณขายโต +14%YoY, +7%QoQ เป็น 5.07 แสนบาร์เรล/วัน ส่วนแนวโน้ม 2H24F ยังไปได้ดี หนุนโดยราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง และราคาขายก๊าซขยับขึ้น แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 197 บาท ทั้งนี้คาดการณ์กำไรปกติปีนี้อยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ณ ราคาหุ้นปัจจุบันมี P/E ปีนี้ตํ่าเพียง 7.5 เท่า, EV/EBITDA 3.5 เท่า, P/BV 1.0 เท่า คาดการณ์ Dividend yield ปีนี้ไว้ที่5%

 

สแกน BCP-BGRIM-RATCH-TOP-OR-GULF-GPSC-PTT

     บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า "BCP" ระยะยาวยังโตอีกไกล แม้ไตรมาส 2/67 จะเป็นช่วงปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นพระโขนง จำนวน 27 วัน (7 พ.ค.-2 มิ.ย.) อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์คาดจะไม่ส่งผลกระทบต่อกำไร 2Q67 มากนัก เนื่องจากบริษัทฯ สามารถเร่งการผลิตจากโรงกลั่นศรีราชาช่วยชดเชย อีกทั้งค่าการกลั่น ณ ปัจจุบันยังอยู่ระดับต่ำทำให้ไม่เสียโอกาสจากการปิดซ่อมบำรุงครั้งนี้หาก 1Q67 เป็นไปตามคาด กำไรปกติจะคิดเป็น 18% ของคาดการณ์ทั้งปีคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท (+26% YoY) หนุนจากปริมาณขายน้ำมันที่เร่งตัวขึ้น และการรับรู้ประโยชน์จากการบริหารงานร่วมกับ BSRC เต็มปีครั้งแรก แนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม 51 บาท ระยะสั้นมี Catalyst จากโอกาสลุ้นเข้าคำนวณในดัชนี SET50 ช่วง 2H67 ขณะที่ระยะยาวบริษัทฯตั้งเป้าหมาย EBITDA ปี 2573 ระดับ 1 แสนล้านบาท เทียบกับประมาณการปี2567 ของเราที่ 5.2 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่าระยะยาวหุ้นยังมีการเติบโตอีกมาก ซึ่งจะขับเคลื่อนหลักจากปริมาณผลิตของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติระดับ 100 kboed

     "BGRIM" เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q67 ที่ระดับ 500 ล้านบาท +/- เติบโต QoQ ได้ต่อเนื่องตามอัตรากำไรขั้นต้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัวหลัง กกพ. มีการตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ระดับ 4.18 บาท/หน่วย ในงวด พ.ค.-ส.ค. แต่ต้นทุนก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มปรับตัวลงหลังแหล่งก๊าซเอราวัณกลับมาผลิตได้เต็มประสิทธิภาพ ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติลดลงจากฐานที่สูงในปีก่อนตามค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลงและค่าใช้จ่าย SG&A ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการ COD โรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 29.25 บาท/หุ้น แนะนำ "TRADING”

     "RATCH" เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q67 ที่ระดับ 1,500-1,600 ล้านบาท ฟื้นตัว QoQ ได้แรงหนุนจากการเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Paiton (คาดรับรู้ราว 1.5 เดือน) บวกรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าหินกอง (ขนาด 353MWe) แบบเต็มไตรมาส และการกลับมาดำเนินงานแบบเต็มประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าหงสาหลังไม่มีการปิดซ่อมบำรุง ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติลดลงจากฐานที่สูงในปีก่อนตามค่าใช้จ่าย SG&A และต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 34 บาท/หุ้น

     "GPSC" เบื้องต้นคาดกำไร 2Q67 ปรับตัวขึ้น QoQ และ YoY หนุนจากการเข้าสู่ High Season ของความต้องการใช้ไฟฟ้าในฤดูร้อน , การเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติชดเชยการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่มีข้อจำกัดจากปริมาณน้ำฝนน้อยในช่วงที่ผ่านมา ,ต้นทุนเชื้อเพลิง (ก๊าซธรรมชาติ-ถ่านหิน) ลดลงตามทิศทางราคาพลังงานในตลาดโลก , อุปทานก๊าซในอ่าวไทย(ราคาต่ำ)เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแหล่งก๊าซเอราวัณสามารถเร่งปริมาณผลิตได้ตามเป้าหมายตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค.ช่วยลดสัดส่วนการนำเข้าก๊าซ LNG ที่ราคาสูงได้และการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการ Glow SPP2 Replacement (29 มี.ค.) และ IRCP-CP 3 (31 มี.ค.) ภาครัฐอนุมัติมาตรการ Single Pool Gas ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 อย่างไรก็ตาม ต้นทุนก๊าซของโรงไฟฟ้า ณ ปัจจุบัน YTD ยังไม่สะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าว เนื่องจากผู้จำหน่ายก๊าซอยู่ระหว่างรอความชัดเจนในรายละเอียดของโครงสร้างราคาก๊าซ โดยหากหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ข้อสรุป (คาดช่วงกลางปี2567) ผู้จัดจำหน่ายก๊าซจะดำเนินการปรับลดราคาก๊าซให้แก่ภาคการผลิตไฟฟ้าทันทีและอาจบันทึกส่วนลดราคาก๊าซย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีเข้ามาเป็น Upside ต่อผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญในงวดนั้นๆ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 57 บาท จากโมเมนตัมกำไรช่วงที่เหลือของปีเร่งตัวขึ้น ระยะยาวมีปัจจัยการเติบโตตามการขยายงานเครือ PTT และการลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ นอกจากนี้มูลค่าพื้นฐานของเรามีโอกาสถูก Re-rating Valuation หาก Bond Yield ส่งสัญญาณเป็นขาลงชัดเจน

     "TOP" แนวโน้ม 2Q67 ลดลง QoQ สอดคล้องการปรับตัวลดลงของ Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูป โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ขั้นกลาง (Middle Distillate) 2QTD ดีเซล และอากาศยาน -38% QoQ และ -43% QoQ ตามลำดับ กดดันจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังในภูมิภาคตามโควต้าส่งออกของจีนเร่งตัวขึ้น และโรงกลั่นในตะวันออกกลางที่ปิดซ่อมบำรุงทยอยกลับมาผลิต 2) อัตรากำไรผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น และยางมะตอย 2QTD อ่อนแอลงจากต้นทุนวัตถุดิบ HSFO สูงขึ้น 3) ความเสี่ยงผลกระทบจากสต็อกน้ำมันหลัง 2QTD ราคาน้ำมันดิบทยอยปรับตัวลงจาก US$84/bbl ช่วงต้นไตรมาสสู่ระดับ US$79/bbl ในปัจจุบัน

     ส่วนแนวโน้มค่าการกลั่นช่วงปลาย 2Q67 มีโอกาสฟื้นตัวจากระดับปัจจุบัน หนุนจากอุปสงค์น้ำมันเบนซินเข้าสู่ High Season ช่วง US Driving Season เดือนพ.ค.-ก.ย. ส่วนในปี 2568 หุ้นมีปัจจัยสำคัญต้องติดตามจากกำหนดการเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์หน่วยกลั่นน้ำมันที่ 4 ภายใต้โครงการ CFP (ต้นปี2568) และการทยอย COD หน่วยเพิ่มคุณภาพน้ำมันในช่วงที่เหลือของปี 2568 ขณะที่การลงทุนใน CAP (TOP ถือหุ้น 15%) ได้รับปัจจัยหนุนจากข่าวร่วมทุน JV กับ Glencore เข้าซื้อโรงกลั่น 237 kbd และโรงงาน Ethylene 1 ล้านตัน/ปีในสิงคโปร์คาดเสร็จสมบูรณ์ภายในปี2567 ช่วยเพิ่มกำลังผลิต, เกิดประโยชน์จากการทำ Backward Integration, เพิ่ม Efficiency, ลดต้นทุน, Secure วัตถุดิบ โดยจะใช้แหล่งเงินทุนภายใน และเงินกู้ยืมเป็นหลัก คงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม 66 บาท ทั้งนี้ เชิงกลยุทธ์ระยะสั้นชอบ PTTEP , SPRC มากกว่าเพราะโมเมนตัม 2Q67 เติบโต (PTTEP) และค่าการกลั่นได้ประโยชน์จาก US Driving Season มากกว่า (SPRC)

     "OR" เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q67 ที่ระดับ 2,500-2,600 ล้านบาท ลดลง QoQ ตามปริมาณขายน้ำมันรวมที่มีแนวโน้มลดลงจากการเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูฝน (ปริมาณการท่องเที่ยวในประเทศลดลง) และค่าการตลาดที่มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ในระดับ 0.90-1.00 บาท/ลิตร หลังราคาน้ำมันดิบในช่วง 2Q67 มีแนวโน้มทรงตัว (คาดมี Stock Gain น้อยกว่าช่วง 1Q67) อย่างไรก็ตามคาดกำไรปกติจะสามารถทรงตัวได้ YoY จากปริมาณขายและความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ Café Amazon ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 20.10 บาท/หุ้น โดยฝ่ายวิเคราะห์มองว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะกลาง-ยาว จะยังคงถูกจำกัดจากความกังวลเกี่ยวกับแผนการเติบโตของบริษัทในระยะยาว หลังบริษัทยังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ได้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (การเติบโตยังมาจากกลุ่มธุรกิจเดิมเป็นหลัก) จึงคงคำแนะนำ “TRADING”

     "GULF" ลุ้น New High เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q67 ที่ 4,200-4,500 ล้านบาท เติบโตทั้ง QoQ และ YoY รวมถึงมีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสหลังได้แรงหนุนจาก 1)สภาพอากาศที่ร้อนในเดือน เม.ย. จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ Dispatch Factor ของโรงไฟฟ้า IPP เพิ่มสูงขึ้น 2)การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 (377.3MWe) และการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 3 (662.5MW)แบบเต็มไตรมาส 3)ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มปรับตัวลงทั้ง QoQ และ YoY หลังแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณสามารถกลับมาผลิตก๊าซธรรมชาติได้เต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง และ 4)ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามการแข่งขันที่ลดลงในตลาดมือถือและตลาด Broadband คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 52.75 บาท/หุ้น โดยฝ่ายฯมองว่าราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวได้ในระยะกลาง-ยาว ตามผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องและ Bond Yield ระยะ 10 ปีของไทยและสหรัฐฯที่คาดผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว

     นอกจากนี้ฝ่ายฯมองว่า GULF จะเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากแผน PDP ฉบับใหม่ ที่จะมีการวางเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนของประเทศและมีการเพิ่มกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนอย่างมีนัยสำคัญ (บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำที่สุดในกลุ่มเชื้อเพลิงฟอสซิลและมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน) คงคำแนะนำ “ซื้อ”

     "PTT" คงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม 38 บาท ระยะสั้นผลประกอบการ 2Q67 ไม่เด่นจากธุรกิจการกลั่นและค้าปลีกน้ำมันของบริษัทลูกชะลอตัว ธุรกิจก๊าซของ PTT ได้รับผลกระทบจากนโยบายพลังงาน อาทิ การคำนวณต้นทุนของโรงแยกก๊าซภายใต้นโยบาย Single Pool, การปรับค่าบริการจัดหาก๊าซ และแปรสภาพ LNG เต็มไตรมาส, การปรับลดสัดส่วนถือหุ้น LNG Terminal 2

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.