ตลท.เร่งเครื่องโรดโชว์ต่างประเทศฟื้นเชื่อมั่น หวังดึงฟันด์โฟลว์ไหลกลับ

     ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.เดินทางนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ให้แก่นักลงทุนในประเทศออสเตรเลีย สิ่งหนึ่งที่เห็นคือ นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ อย่าง ออสเตรเลีย มองว่าจะทำอย่างไรที่จะ Diversify เงินออกจากประเทศใหญ่ๆมาในตลาดเกิดใหม่ EM หรือ ประเทศในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น 

     ถามว่า ฟันด์โฟลว์จะไหลกลับมาได้อย่างไร ส่วนตัวคิดว่าหากดอกเบี้ยสหรัฐฯเริ่มปรับตัวลดลง คาดว่าน่าจะเห็นเม็ดเงินที่ไหลออกมาจากตลาดหุ้นสหรัฐฯไหลมายังตลาด EM มากขึ้น

     และแน่นอนว่าปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจ และ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาได้เร็วขึ้น ถ้าเศรษฐกิจในประเทศไทยฟื้นตัวได้เร็ว สิ่งที่ผมค่อนข้างมีความมั่นใจคือ ความสามารถในการเจริญเติบโตของบริษัทที่เกิดจากปริมาณเงินลงทุนในประเทศมีค่อนข้างมาก ธนาคารพาณิชย์มีเงินทุนกองทุนเกือบ 20% หนี้สาธารณะแค่ 61% ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่ากระทรวงการคลังขายพันธบัตรออมทรัพย์หมดภายในไม่ถึง 2% ดังนั้นจะเห็นว่าเม็ดเงินลงทุนในประเทศมีเยอะมาก 

     ฝั่งตลาดทุนไทยยังมีความสามารถในการออกไอพีโอใหม่ๆได้ เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าถ้าเศรฐกิจฟื้นตัวและมีการระดมทุนเพิ่มขึ้นจะยิ่งทำให้เงินทุนไหลกลับเข้ามามากขึ้น

     "หลังจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯเตรียมโรดโชว์กลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง , สิงคโปร์ , อังกฤษ , ฮ่องกง และ สหรัฐฯ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น กระจายฐานนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น พร้อมกับอัพเดตข้อมูลถึงพัฒนาการต่างๆของตลาดหุ้นไทย ซึ่งในปัจจุบันสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติในตลาด อยู่ที่ 50% ถือว่าเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างสูงกว่าที่ผ่านมาอยู่ที่ 35-40%"

 

มาตรการสกัดหุ้นร้อนได้ผลแค่ไหน ?

     มาตรการของตลท.จะบอกว่าใช้ไม่ได้ผลก็คงไม่ใช่ เพราะตอนนี้จะเห็นว่าราคาหุ้นบางตัวที่ ตลท.กังวลเริ่มมีการปรับตัวลดลง แน่นอนว่าเรื่องต่างๆต้องใช้เวลาและใช้หลายๆมาตรการในการช่วยกัน ตราบใดที่ ตลท.ยังไม่มีมาตรการที่เด็ดขาดมากกว่านี้ ซึ่งตอนนี้สิ่งที่เห็น ตลท.มีการใช้มาตรการระดับ 1 , 2 , 3 และ ใช้เครื่องหมาย SP รวมถึงมีการออกมาเตือน มีการให้ข้อมูลมากขึ้น

     ซึ่งในอนาคตหากสิ่งที่ ตลท.กำลังนำเสนอได้นำมาใช้ ส่วนตัวเชื่อว่าจะมีมาตรการที่ทำให้การควบคุมสามารถทำได้เร็วขึ้นมากกว่านี้ แต่ตอนนี้มาตรการที่ ตลท.มีสามารถควบคุมราคาต่างๆที่มีการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นอย่างไร

     "ความคืบหน้าการหารือ ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการห้ามเทรดหุ้นร้อนต่างๆ ตอนนี้ ตลท.เร่งรีบทำเฮียริ่งมาตรการต่างๆให้ออกมาเร็วที่สุด อะไรก็ตามที่สามารถทำได้โดย ตลท.เอง เราจะมีการเฮียริ่งและขออนุมัติจากบอร์ด ส่วนอะไรที่ต้องขออนุมัติจากทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เราก็รีบทำเช่นกัน

     เพราะฉะนั้นนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 3 ของปีนี้ จะมีมาตรการต่างๆที่เรานำมาอธิบายให้เห็นภาพก่อนหน้านี้ออกมาต่อเนื่อง อันไหนทำได้ก่อนจะออกมาก่อน ทุกอย่าง ตลท.พยายามผลักดันให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด"

เฟดหั่น ดบ.-กำไรฟื้นดึงฟันด์โฟลว์

     ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า แนวโน้มเงินทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยปี 2567 ก่อนอื่นต้องมองภาพใหญ่ของโลก ภาพฟันด์โฟลว์เข้าหรือออกตัวผลักดันสำคัญ คือ การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ซึ่งจะเห็นว่าในเดือน ม.ค.67 ฟันด์โฟลว์ไหลกลับไปยังสหรัฐฯค่อนข้างเยอะเพราะนักลงทุนมองว่าเฟดมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยไม่เร็วมาก พอเดือน ก.พ.67 จะเห็นว่าฟันด์โฟลว์ไหลเข้าทุกตลาดของ Emerging Market (EM) สะท้อนภาพโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในปีนี้ราว 3-4 ครั้ง

     ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ เช่น ความสำคัญการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน หรือ อัตราดอกเบี้ยไทยหากมีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นจะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาได้ แต่หากดูบรรยากาศการลงทุนโดยรวมจะเห็นว่ามีการลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็น EM มากขึ้น แต่ไม่ได้ Bullish มาก เป็นลักษณะมองบวกแต่บวกอย่างระมัดระวัง

   "การโรดโชว์ถือเป็นหนึ่งในการดึงเม็ดเงินลงทุน ซึ่งที่ผ่านมา ตลท. มีการโรดโชว์ประเทศออสเตรเลีย โดยมี 2 กิจกรรม คือ นายกฯไปร่วมงานอาเซียน-ออสเตรเลียซัมมิท ทางตลท.ช่วยออแกไนซ์ให้กองทุนขนาดใหญ่คือ กองทุนเอสตราของออสเตรเลีย เป็นเรื่องของบำนาญของพนักงานที่เกี่ยวกับสาธารณะสุขมีสินทรัพย์ราว 2 ล้านล้านบาท

     อีกกิจกรรม คือ อาเซียน ซีอีโอ โรดโชว์ มีกองทุนออสเตรเลียเข้าร่วม 17 กองทุน แม้จำนวนไม่เยอะ แต่มูลค่ากองทุนแต่ละกองมีขนาดใหญ่มาก มีสินทรพย์บริหารรวมมูลค่า 175,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 6 ล้านล้านบาท ถือเป็นกองทุนที่ลงทุนหุ้นไทยบางส่วนแต่ยังไม่เยอะ

     ทั้งนี้ ทางกองทุนฯสนใจลงทุนที่เกี่ยวกับ Health , Well Being , ESG ฯลฯ ถือเป็นจุดแข็ง และการโรดโชว์ครั้งนี้มีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมคือ BDMS และ CPN ซึ่ง 17 กองทุนให้ความสนใจ"

     สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย เดือน ก.พ.2567 SET Index ปิดที่ 1,370.67 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้าซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ปรับลดลง 3.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 47,265 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 29.5% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 2 เดือนแรกปี 2567 อยู่ที่ 47,185 ล้านบาท ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,246 ล้านบาท ทำให้ใน 2 เดือนแรกของปีนี้ ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 27,624 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 22

     ส่วน Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 อยู่ที่ระดับ 14.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.9 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 16.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.3 เท่า

     "เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.พ.67 สอดคล้องกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลจากการปรับลดคาดการณ์ GDP ไทย โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับลดแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี67 อยู่ที่ 2.2-3.2% ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจมาจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้าตามการฟื้นตัวของการค้าโลก และการขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคตามการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งนักวิเคราะห์เริ่มปรับประมาณการกำไรของบริษัทในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ราคาหลักทรัพย์กลุ่มดังกล่าวเริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากทั้งในและต่างประเทศ นักวิเคราะห์ให้คำแนะนำกับผู้ลงทุนเข้าซื้อหุ้นตามธีม High Dividend เพราะนอกจากจะได้รับกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ (Passive Income) หุ้นกลุ่มนี้ยังมีผลตอบแทนชนะ SET Index อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งหุ้น High Dividend ยังมีคุณลักษณะเป็นหุ้นปลอดภัย (Defensive) โดยสังเกตจากค่า Beta ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด"

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.