คำต่อคำ “สมโภชน์ อาหุนัย” เปิดศึกชิงเก้าอี้ประธาน ส.อ.ท. คนที่ 17
บรรยากาศก่อนการเลือก "ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) วาระปี 2567-2569" ถือว่าร้อนแรงและสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ปกติจากที่เคยเป็นมาอย่างเห็นได้ชัด อาจเนื่องด้วยเก้าอี้ดังกล่าวค่อนข้างมีบทบาทสำคัญในแวดวงอุตสาหกรรมไทย การนำเสนอนโยบายสำคัญไปยังรัฐบาล หรือ บทบาทคณะกรรมการ ทั้ง คณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชน (กรอ.) และ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เป็นต้น
สิ่งที่ต้องติดตามคือ การเลือกตั้ง "กรรมการ สภาอุตสาหกรรมฯ" ในวันที่ 25 มีนาคม 2567 เพราะหากภาพของทีมกรรมการชัดเจนว่าใครเป็นใคร อาจจะพอคาดเดาได้ว่าใครจะมีโอกาสได้ครองเก้าอี้ประธานฯได้ นั่นเพราะว่า"กรรมการ"จะเป็นตัวแทนสมาชิกในการเลือก "ประธาน สภาอุตสาหกรรมฯ" นั่นเอง คาดว่าน่าจะเห็นหน้าตาของประธานฯได้ภายในเดือน เมษายนนี้
ซึ่ง "กรรมการ"ที่มีสิทธิลงคะแนน ประกอบด้วย 1.กรรมการที่มาจากการเลือกตั้ง 2.กรรมการแต่งตั้งจากกลุ่มอุตสาหกรรม 46 กลุ่ม และ 3.กรรมการแต่งตั้งจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัด 76 จังหวัด
ปัจจุบัน “นายเกรียงไกร เธียรนุกูล” ดำรงตำแหน่ง ประธาน ส.อ.ท. วาระ 2565-2567 ในวาระที่ 1 และได้เสนอตัวนั่งต่ออีก 1 วาระ ซึ่งตามธรรมเนียมปกติมักจะเป็นเช่นนั้น นั่นคือ "ประธาน ส.อ.ท." สามารถดำรงตำแหน่งต่อได้อีก 1 วาระ หรืออีก 2 ปีนั่นเอง
แต่.. การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ง่าย เพราะมีผู้ท้าชิง นั่นก็คือ “นายสมโภชน์ อาหุนัย” ในฐานะสมาชิกและรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA โดดเข้าร่วมชิงเก้าอี้ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ
วันนี้(29 ก.พ.67) นายสมโภชน์ อาหุนัย กล่าวเปิดใจถึงการเข้าชิงเก้าอี้ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ ว่า วันนี้ผมพร้อมที่จะลงสมัครตำแหน่งประธาน ส.อ.ท. คนที่ 17 (ปี 2567-2569) นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ผมจะนำความรู้ความสามารถของผมมาแบ่งปันและมาช่วยเพื่อนๆสมาชิกในอุตสาหกรรมอื่นๆ
อีกทั้งอยากเป็นคนที่จะนำเสนอและเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งที่จะเชื่อมระหว่างสภาอุตสาหกรรมฯกับทางภาครัฐเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ Thailand Team ที่จะต้องเกิดขึ้นในประเทศไทยเพื่อทำให้ประเทศหลุดพ้นจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางในวันนี้
"ผมอยากเห็น สภาอุตสาหกรรมฯ เป็นที่พึ่งหลักของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นการที่เขาจะพึ่งเราได้ เราก็ต้องแข็งแรงจากภายในก่อน และเราต้องมีไอเดียที่ดีที่ปฏิบัติได้ และต้องเป็นแขนขาให้กับภาครัฐในการทำนโยบายภาครัฐประสบความสำเร็จ เป็นรูปธรรม
สิ่งที่ผมพูดทั้งหมดต้องเริ่มจากภายในก่อนว่าคนที่อยากมาทำต้องมีจิตอาสาเพราะการที่เราจะประสานผลประโยชน์ของหลายๆกลุ่มได้ คนนั้นต้องเป็นคนที่มีจิตอาสาและต้องเป็นคนที่มีใจเป็นกลางจริงๆ ยึดประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และต้องเป็นคนที่พูดแล้วทุกคนยอมรับ ถ้าทำอย่างนี้ได้สภาอุตสาหกรรมฯก็จะเป็นหนึ่งเดียว และจะมียุทธศาสตร์ที่แข็งแกร่งและชัดเจน
ที่สำคัญต้องเป็นคนที่จะคุยกับรัฐบาลหรือรับนโยบายรัฐบาลแล้วต้องมาแจกแจงว่าจะทำอย่างไรให้นโยบายนี้เป็นรูปธรรม เป็นแขนขาให้ได้ วันนี้เราจำเป็นที่จะต้องมีคนแบบนี้ และผมเชื่อว่าผมพร้อมที่จะเป็นคนๆนี้ถ้าสภาอุตสาหกรรมฯยังไม่มีแคนดิเดตคนไหนที่จะทำตรงนี้ได้ ผมยินดีที่จะทำ แต่ถ้าสภาอุตสาหกรรมฯมีคนที่ดีกว่าในบานะที่ผมเป็นสมาชิกคนหนึ่งผมยินดีที่จะสนับสนุนคนๆนั้น เพราะวัตถุประสงส์เหมือนกัน ผมก็อาจจะเป็นแขนขาของคนๆนั้นก็ได้ถ้าคนนั้นดีกว่า
วันนี้ไม่ใช่เป็นการทะเลาะ หรือมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่เป็นการช่วยกันว่าจะทำอย่างไรให้สภาอุตสาหกรรมฯเจริญรุ่งเรือง เป็นเสาหลักของประเทศ เป็นที่พึ่งให้กับสมาชิกทุกคน"
ถามว่า นโยบาย "ทีมสมโภชน์" เป็นอย่างไร ?
นโยบายจากนี้ ผมอยากเห็นความเป็นหนึ่งอันเดียวกันของสภาอุตสาหกรรมฯมีความสมัครสมานสามัคคีและอยากเห็นความเท่าเทียมระหว่างอุตสาหกรรมต่างๆทั้งในจังหวัดหรือต่างจังหวัดหรือส่วนกลาง ทุกคนต้องร่วมมือกันและทำประโยชน์สูงสุดของสภาอุตสาหกรรมฯและประเทศชาติร่วมกัน ซึ่งผมจะทำหน้าที่เป็นคนกลางในการที่จะประสานเพื่อหาจุดสมดุลระหว่างอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงสมาชิกต่างๆ เพื่อให้เกิดบทสรุปที่ชัดเจน และนำสิ่งเหล่านี้ไปปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม
ดังนั้นจึงเน้นนโยบายเชิงรุก ด้วย 4 ยุทธศาสตร์ คือ 1.ทำงานเชิงรุกในการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของประเทศให้สอดประสานระหว่างภาครัฐกับเอกชน
2. สร้างพลังและเพิ่มขีดความสามารถของสมาชิกสภาอุตสาหกรรมทั่วประเทศ
3. ประสานภาครัฐให้ช่วยส่งเสริมสนับสนุนเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรายย่อย-รายใหม่ในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่า
และ 4. นำเอาความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ที่มีมาบูรณาการในเชิงรุกและเชิงรับทุกมิติ
"เรื่องนี้เป็นอุดมการณ์ที่ผมมีมาตั้งนานแล้วคืออยากสร้างประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติ ผมเคยเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจนกระทั่งปัจจุบันทำหน้าที่บริหารธุรกิจในกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ ต้องการนำเสนอไอเดียที่มีเพื่อให้เกิด Impact มากกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เพราะเชื่อว่า สภาอุตสาหกรรมฯคือแกนหลักของประเทศ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น ในสถานการณ์ปัจจุบันเราไม่ควรอยู่ในสภาพตั้งรับควรอยู่ในเชิงรุก เนื่องจากโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่ละอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบแตกต่างกันออกไป มีทั้งที่ต้องการรับการส่งเสริมสนับสนุนหรือเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา รวมถึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนเชื่อมกับภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมให้บรรลุผลสำเร็จและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการแล้วยังตอบสนองภาครัฐให้บรรลุตามแผนยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้"
ถามว่า.. ตอนนี้มีสมาชิกให้การสนับสนุนครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน?
ผมไม่ทราบเหมือนกัน แต่น่าจะพอมี ผมมองว่าวันนี้แค่ได้มีโอกาสมาพูด มาให้ไอเดีย สิ่งที่ผมจะชนะไม่ได้ชนะว่าผมได้เป็นประธานสภาอุตสาหกรรมฯหรือไม่ แค่ไอเดียของผมมีใครนำไปทำ ผมถือว่าชนะแล้ว และยิ่งถ้ามีคนเก่งกว่านำไปทำ และผมได้สนับสนุนยิ่งทำให้มีความสุขมาก ผมจะดีใจที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ และไม่ต้องเหนื่อย ผมเป็นผู้สนับสนุนที่ดี "เราต้องรู้จักเล่นเป็นทั้งผู้นำที่ดีและผู้ตามที่ดี" เพียงแต่ว่า ถ้าไอเดียดีแต่ไม่มีใครทำ ผมจะทำ เพราะไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่า "คุณเอาแต่พูด ไม่ทำจริง อย่างนั้นคุณก็พูดไป ฉะนั้นผมจะทำ"
"การมาครั้งนี้ผมไม่ยึดติดว่าจะต้องเป็นอะไร มันจะมีการขัดแย้งได้ยังไง ผมยังมองไม่เห็นเลยว่าผมจะไปขัดแย้งกับใครได้ยังไง เพราะผมไม่คิดจะขัดแย้งกับใคร และผมไม่ยึดติดอะไร ทุกอย่างยืดหยุ่นได้"
ถามว่า.. ทำไมไม่รออีก 2 ปีจึงค่อยลงสมัครประธานฯ
ขอย้ำอีกครั้งว่า วันนี้ผมไม่ได้มาสร้างความขัดแย้ง ผมมาเพื่อเสนอยุทธศาสตร์ที่สร้างสรรเพื่อสมาชิกทุกคน ถามว่าทำไมไม่เสนออีก 2 ปีข้างหน้า มี 2 เรื่อง คือ 1. ประเทศไทยรอไม่ได้ ทุกคนรู้ว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร เศรษฐกิจไม่ดี เราควรปรับทันที ไม่ใช่ปล่อยให้ลุกลามบานปลายก่อนจึงค่อยทำอะไร นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมผมถึงเสนอตัวในการสมัครครั้งนี้ ซึ่งผมอยากแสนอว่าเราควรทำอะไร อย่างไรบ้าง
และ 2. การเลือกตั้งครั้งนี้ ผมไม่คิดว่าจะสร้างความแตกแยกใดๆ สมมุติว่าผมได้เป็นประธานฯ ผมพร้อมสนับุสนุนทุกคน Service (บริการ) ทุกคน ซึ่งคำว่า Service ไม่ใช่คำสั่ง ดังนั้นนี่ไม่ใช่ความขัดแย้งแน่นอน
"ผมยังเคารพพี่ไก่ เกรียงไกรเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมยอมรับผลการเลือกตั้งเสมอ ในประวัติศาสตร์ประธานสภาอุตสาหกรรมฯหลายท่านอยู่ในวาระ 1 เทอม หรือ 2 ปี สิ่งที่อยากบอกคือเราต้องยึดประเทศเป็นหลัก วันนี้เป็นจังหวะที่ต้องเปลี่ยนหรือไม่ ถ้าวันนี้ต้องเปลี่ยนผู้นำ เปลี่ยนแนวทาง ก็ต้องเปลี่ยนทันทีหรือไม่ ไม่ใช่ต้องรออีก 2 ปี หรือ 4 ปีถึงค่อยเปลี่ยนแปลง"
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.