รู้ก่อนซื้อ! GULF สตอรี่แน่น 5โบรกส่องกำไรทั้งปีสวยแกร่ง
ราคาหุ้น GULF ปิดการซื้อขายเช้านี้(16 ก.พ.2567) อยู่ที่ 43.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท คิดเป็น +0.58% มูลค่าการซื้อขาย 184.64 ล้านบาท ระหว่างวันราคาขึ้นไปสูงสุด 43.75 บาท และลดลงต่ำสุด 43.00 บาท
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ประกาศผลประกอบการปี 66 มีกำไร 14,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปี 65 ที่มีกำไร 11,418 ล้านบาท มีรายได้รวม (Total Revenue) อยู่ที่ 116,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จาก 95,076 ล้านบาทในปี 65 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) อยู่ที่ 15,644 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จาก 12,098 ล้านบาทในปีก่อนหน้า
การเติบโตดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่ม IPD หน่วยที่ 1 และ 2 รวมกำลังการผลิตติดตั้ง 1,325 เมกะวัตต์ โดยมี Load Factor เฉลี่ยที่ 90% ในปี 2566 โครงการโรงไฟฟ้า DIPWP ในประเทศโอมานที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบทั้ง 326 เมกะวัตต์ตั้งแต่ต้นปี 66 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Mekong ในประเทศเวียดนามที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบทั้ง 128 เมกะวัตต์ในเดือนก.ค. 66 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ภายใต้ GULF1 ซึ่งทยอยเปิดดำเนินการไปแล้วจำนวน 110 เมกะวัตต์ ประกอบกับการรับรู้รายได้เต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ที่เปิดดำเนินการครบทั้ง 4 หน่วยเรียบร้อยแล้ว จำนวนรวม 2,650 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ปลายปี 65
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของธุรกิจพลังงานยังเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย SPP 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีกำไร Core Profit เพิ่มขึ้นจาก 1,435 ล้านบาทในปี 65 เป็น 3,097 ล้านบาทในปี 66 เพิ่มขึ้น 1,661 ล้านบาท หรือ 116% จากปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลักมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากการขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งราคาค่าก๊าซเฉลี่ยปรับตัวลดลงจาก 494.8 บาท/ล้านบีทียูในปี 65 เป็น 385.4 บาท/ล้านบีทียูในปี 66 ขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 0.40 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 65 เป็น 0.89 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 66
อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit เพิ่มขึ้น 174% จากจำนวน 324 ล้านบาทในปี 65 เป็น 889 ล้านบาทในปี 66 ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีของโครงการดังกล่าว ซึ่ง GULF ได้เข้าลงทุนไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 65 ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG มีกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก 170 ล้านบาทในปี 65 เป็น 263 ล้านบาทในปี 66 หรือเพิ่มขึ้น 55% จากต้นทุนราคาไม้เฉลี่ยที่ลดลงจาก 1,036 บาท/ตันในปี 65 เป็น 869 บาท/ตันในปี 66 ขณะที่ราคาค่า Ft ขายส่งเฉลี่ยที่สูงขึ้นจาก 0.25 บาท/กิโลวัตต์ในปี 2565 เป็น 0.72 บาท/กิโลวัตต์ในปี 66
อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าวบางส่วนถูกชดเชยโดยส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี เนื่องจาก GULF ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการนี้ลงจาก 50.00% เหลือ 24.99% โดยจำหน่ายหุ้นในสัดส่วน 25.01% ให้กับ Keppel Group เมื่อเดือนธ.ค. 65
ในปี 66 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก PTT NGD จำนวน 396 ล้านบาท ซึ่งพลิกจากผลขาดทุนจำนวน 128 ล้านบาทในปี 65 จากราคาต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จำนวน 241 ล้านบาท จากโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว (Thai Tank Terminal) ที่ได้เข้าลงทุนในเดือนธันวาคม 65 นอกจากนี้ GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 6,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,445 ล้านบาท หรือ 31% จาก 4,656 ล้านบาทเมื่อปี 65 โดยสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ AIS
GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 66 จำนวน 35,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับ 29,138 ล้านบาทในปี 65 และกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในปี 2566 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) อยู่ที่ 14,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จาก 11,418 ล้านบาทในปี 65
ณ วันที่ 31 ธ.ค. 66 GULF มีสินทรัพย์รวม 459,514 ล้านบาท หนี้สินรวม 315,410 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 144,104 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.69 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.56 เท่า ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากจำนวนหนี้สินระยะยาวที่เพิ่มขึ้นจากการออกและจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 35,000 ล้านบาท ในปี 2566 ประกอบกับการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อลงทุนในโครงการ GPD
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ในวันที่ 4 เม.ย.67 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทประจำปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.66 ในอัตรา 0.88 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิเท่ากับ 78.1% โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 29 ก.พ.67 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 เม.ย.67 (XD 28 ก.พ.67 )
ปี 67ชูเป้ารายได้โต 25-30%
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่ารายได้รวมของปี 2567 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 25 - 30% จากปี 2566 จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 3 และ 4 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนมีนาคมและตุลาคม 2567 ตามลำดับ รวมทั้งการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหินกองหน่วยที่ 1 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนมีนาคม 2567
นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ของกลุ่ม GULF1 จะทยอยเปิดดำเนินการเพิ่มอีกจำนวน 120 เมกะวัตต์ในปีนี้ ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Solar Farms With Battery Energy Storage Systems: Solar BESS) ภายในประเทศ มีแผนที่จะทยอยเปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 5 โครงการในปลายปี 2567 โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 532 เมกะวัตต์
GULF เล็งเห็นถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonization) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของภาครัฐในปัจจุบันที่จะมุ่งสู่พลังงานสะอาด โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกฟผ. เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการ Solar Farms และ Solar BESS จำนวนรวม 24 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าตามสัญญารวมทั้งสิ้น 2,396 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2567 – 2572 และลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกฟภ. เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 20 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 2 โครงการมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2569
ปัจจุบัน GULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนารวมทั้งสิ้น 8,211 เมกะวัตต์ และพร้อมมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดภายในปี 2578 จากโครงการ Solar Rooftop, Solar Farms, Solar BESS พลังงานลม พลังงานน้ำ และพลังงานขยะอุตสาหกรรม ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ผ่านรูปแบบการลงทุนใหม่ (Greenfield) การเจรจาการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ และการเข้าซื้อกิจการ (M&A)
นอกจากนี้ ในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ GULF จะนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ซึ่งนับเป็นเอกชนรายแรกของประเทศไทยที่นำ LNG เข้ามาในประเทศ โดยการนำเข้า LNG นี้เป็นไปตามแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติของประเทศ อันจะช่วยลดความเสี่ยงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติ และเพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศอีกด้วย
ส่วนความคืบหน้าของโครงการภายใต้ธุรกิจดิจิทัลยังคงเป็นไปตามแผน โดยธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ภายใต้แพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance ได้เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแก่ผู้ใช้งานทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดที่ประมาณ 30% ในปี 2567
ขณะที่ธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) นั้น อยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีแผนที่จะเปิดให้บริการเฟสแรกในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 จำนวน 20 เมกะวัตต์ ซึ่งศูนย์ข้อมูลดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการต่อยอดธุรกิจบริการด้านดิจิทัลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง สำหรับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) GULF มีแผนร่วมทุนกับพันธมิตรที่มีทั้งช่องทาง ฐานลูกค้าและข้อมูล โดยจะนำเทคโนโลยีมาช่วยดำเนินการและสร้างบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการให้บริการ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าที่อยู่นอกระบบธนาคารพาณิชย์ และจะส่งผลให้ Virtual Bank เติบโตได้ในอนาคต
กำไรธุรกิจหลักต่ำกว่าคาด
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่า กำไรสุทธิของ "GULF" ในไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท (-12% yoy, +42% qoq) ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดเอาไว้ โดยบริษัทมีการบันทึกกำไรพิเศษ 1.2 พันล้านบาท ผลจากการกลับรายการสำรอง 700 ล้านบาท หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากรณี ITV ออกมา
อีกทั้ง กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 600 ล้านบาท และผลขาดทุนที่ยังไม่รับรู้จากอนุพันธ์ของบริษัทร่วม และ JVs 100 ล้านบาท แต่หากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว กำไรจากธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท (+16% yoy, -17% qoq), ต่ำกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้ 17% ซึ่งฝ่ายฯเชื่อว่าเป็นเพราะค่าใช้จ่าย SG&A สูงเกินคาด และค่าความพร้อมจ่าย (Availability payment) ของ IPPs ต่ำกว่าที่คาดไว้
นอกจากนี้ GULF ยังประกาศจ่ายเงินปันผล 0.88 บาท/หุ้น (กำหนดขึ้น XD วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2024 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 25 เมษายน 2024) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 2%
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์มองกำไรจากธุรกิจหลักในไตรมาส 4/66 เพิ่มขึ้น yoy จากรายได้ equity income (PTTNGD, Jackson )กำไรจากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้น yoy จากรายได้ equity income ที่เพิ่มขึ้นจาก PTTNGD (พลิกเป็นกำไรจากที่ขาดทุนในไตรมาส 4/65 เพราะ margin เพิ่มขึ้นจากการที่ต้นทุนก๊าซลดลง) และ Jackson (มีกำไรพิเศษจากค่าชดเชย) ในขณะเดียวกัน
สัดส่วน SG&A/ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 5.1% จาก 3% ในไตรมาส 3/66 และ 4.2% ใน 4/65 เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล
ปี67กำไรธุรกิจแกร่ง
ฝ่ายฯคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักในไตรมาส 1/67 จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้ง yoy และ qoq โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น yoy จะมาจากการเริ่ม COD ของโครงการ GPD unit 1-2, หินกอง unit 1 ส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้น qoq จะเป็นเพราะค่าใช้จ่าย SG&A ลดลง และ IU margin ของ SPP เพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นทุนก๊าซลดลง ฝ่ายฯคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง yoy ในปี 67 เนื่องจากกำหนด SCOD ของโครงการ IPP ซึ่งได้แก่ GPD unit 3 (464MWe เดือนมีนาคม 2024), GPD unit 4 (464MWe เดือนตุลาคม 2567) และ หินกอง unit 1 (385MWe เดือนมีนาคม 2567) และ IU margin ของ SPP ดีขึ้น
โดยราคาหุ้น GULF ในปัจจุบันคิดเป็น P/E ปี 2024F ที่ 27x และ P/BV ที่ 3.8x P/BV(ค่าเฉลี่ยระยะยาว -1.5S.D.) ฝ่ายฯมองว่าปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจะมาจากความคืบหน้าของคดีเกี่ยวกับโครงการพลังงงานลมที่ยังคาอยู่ที่ศาลปกครอง และการทำประชาพิจารณ์แผน PDP ปี 2567 คาดว่าจะจัดในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2567 ให้ราคาเป้าหมายตาม BB consensus อยู่ที่ 56.02 บาท
กำไรโตต่อ
บล.ฟิลลิป แนะนำซื้อ “GULF” ราคาพื้นฐานที่ 58 บาท กำไรในไตรมาส 4/66 ออกมา 4,763 ล้านบาทโตตามคาด เพิ่มขึ้น 42% Q-Q โดยหลักเนื่องจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม โดยส่วนแบ่ง core profit เพิ่มขึ้น 14% Q-Q ได้แก่ 1) ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH เพิ่มขึ้น 29% Q-Q จากประเด็นข้อพิพาทกรณีไอทีวี
2) จากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 78% Q-Q เนื่องจากมีกำไรพิเศษ 3) จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เยอรมันที่เข้าสู่ ช่วง High Season +361% Q-Q
ทั้งนี้แม้โรงไฟฟ้าในไทยจะทำได้ เพียงทรงตัว โดยมีรายได้จากการโครงการใหม่ช่วยชดเชยรายได้ที่ลดลงของลูกค้าอุตสาหกรรม แต่ยังมีกำไรจาก FXและ Hedging ช่วยหนุนอีกประมาณ 545 ล้านบาททำให้กำไรสุทธิโตได้ Q-Q แต่ลดลง Y-Y เนื่องจากปีที่แล้วมีกำไรจาก FX ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ในแง่ Core Profit ยังโตได้ต่อเนื่อง +0.3% Q-Q และ 17% Y-Y
ในระยะสั้นทางฝ่ายฯยังมองบวกจากกำไรที่ยังโตได้ และระยะยาวยังมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาหนุนต่อเนื่อง
ผ่ากำไรปี 67-68
บล.เคจีไอ แนะนำซื้อ GULF ให้ราคาเป้าหมาย 55 บาท ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไรสุทธิในปี 2567-2568 จะโต 24% YoY และ 16% YoY ตามลำดับ โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 2567F ของเราสอดคล้องกับตลาด แต่ต่ำกว่าเป้าของผู้บริหารที่ 25-30% YoY เล็กน้อย โดยปัจจัยกระตุ้นจะมาจากการรับรู้กำไรเต็มปีของ GPD Unit1-2, เริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานของ GPD Unit 3-4, โครงการ IPP หินกอง เฟส 1 และโครงการอื่นๆที่อยู่ใน pipeline
โดยฝ่ายฯคาดว่ากำไรหลักในไตรมาส 1/67 เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น QoQ จะเป็นเพราะปัจจัยฤดูกาล (SG&A ลงลง, อุปสงค์การใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น, ค่า AP ของ IPPs สูงขึ้น) และ margin ของ SPPs เพิ่มขึ้น ส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้น YoY จะมาจากการรับรู้กำไรเต็มปีจาก GPD Unit1-2 ฝ่ายฯคิดว่าค่า Ft ที่เพิ่มเป็น 0.40 บาท/kWh (+0.19 บาท/kWh) จะมีน้ำหนักมากกว่าราคาก๊าซที่เพิ่มขึ้นเป็นราว 365 บาท/mmbtu (+25 บาท QoQ)
อย่างไรก็ดี ฝ่ายฯมองว่าการเติบโตของ GULF น่าจะราบรื่นมากขึ้น และ โดดเด่นในอีก 5 ปีข้างหน้า จากโครงการที่อยู่ใน pipeline ทั้งในธุรกิจสื่อสาร และ โครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะทำให้ GULF แตกต่างจากหุ้นอื่นในกลุ่ม และทำให้ทั้ง ROE และ ROA ดีตามไปด้วย ทั้งนี้ GULF จะจ่ายเงินปันผลปี 2566 ที่ 0.88 บาท/หุ้น (XD 28 กุมภาพันธ์ 2567) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ 2%
Q1/67 กำไรฟื้น
บล.กรุงศรี พัฒนสิน แนะนำ Trading Buy หุ้น GULF ให้ราคาเป้าหมาย 50 บาท มอง Neutral ต่อกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 ที่ 4,763 ล้านบาท (-12% YoY , +42% QoQ) ใกล้เคียงคาด หากตัดรายการพิเศษออก กำไรปกติ 4,012 ล้านบาท (+21% y-y, -5% q-q) สูงกว่าคาด 9% จาก service income (one-time) และอัตรากำไร IPP บวก SPP ดีกว่าคาด
กำไรโต YoY ได้โรงไฟฟ้าใหม่ทยอย COD/M&A และธุรกิจ INTUCH บวก PTTNGD ที่อัตรากำไรฟื้นตัว ส่วนลด QoQ เพราะอัตรากำไรขายไฟ IU ลดตามค่า ft และส่วนแบ่งกำไรฯ INTUCH ลดลง ฝ่ายฯมองกำไรจะกลับมาฟื้น QoQ ในไตรมาส 1/67 ตามค่าความพร้อมจ่าย(AP)ของโรง IPP ที่ฟื้นตัว คงมุมมองกำไรปกติ 2567 โตสูง YoY ต่อเนื่องตามการทยอย COD เพิ่มขึ้น 20% YoY
ทั้งนี้บริษัทประกาศปันผล 0.88 บาท/หุ้น คิดเป็น yield ราว 2% ขึ้น XD 28 ก.พ.67
โรงไฟฟ้าโดดเด่น
บล.ไอร่า (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 67 อยู่ที่ 63.50 บาท (SOTP) โดย GULF ประกาศผลการดำเนินงานปกติในช่วงไตรมาส 4/66 ทรงตัว qoq แต่ยังมีโอกาสเติบโตทั้งจากธุรกิจไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานและดิจิตอล
ส่วนแนวโน้มปี 2567-2576 ธุรกิจไฟฟ้ายังเติบโตโดดเด่น จากทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน คาดจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 6,711 MWe ในปี 2566 เป็น 10,794 MWe ในปี2576 โดยมีโครงการที่น่าสนใจ เช่น โครงการ GULF PD กำลังผลิตติดตั้งรวม 2,650 MW ที่ทยอยเปิดดำเนินงานในปี 2566 และ 2567, โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่สหรัฐฯ และโอมาน ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ลาว, อังกฤษ, เยอรมัน และเวียดนาม
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.