มงไม่ลงจะงงมาก! ต่างชาติเคาะขวาซื้อกว่าพันล้าน หุ้นไทยดี๊ด๊า ท้าฝัน 1600

     ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดการซื้อขายวันนี้(29 ส.ค.66) อยู่ที่ 1,568.81 จุด เพิ่มขึ้น 5.84 จุด คิดเป็น +0.37% มูลค่าการซื้อขาย 55,507.12 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีปรับขึ้นสูงสุด 1,573.19 จุด และลดลงต่ำสุด 1,563.15 จุด 

     ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติ กลับมาซื้อสุทธิ 1,453.57 ลบ. , บัญชีบล. ซื้อ 207.36 ลบ. ส่วน รายย่อย ขายสวน -1,165.12 ลบ. , สถาบัน ขายใส่ -495.81 ลบ.

     5 หุ้นซื้อขายสูงสุด ดังนี้

เคาะเป้า 1600 

     นักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บล.ลิเบอเรเตอร์ ระบุว่า หุ้นไทยวันนี้(29 ส.ค.66) ดัชนีไต่ขึ้นไปแตะเหนือ 1570 จุดได้ ซึ่งเป็นด่านสำคัญเชิงเทคนิค EMA 200 วัน แม้ว่าช่วงตลาดปิด ดัชนีย่อลงมาเล็กน้อยแต่ยังไม่เสียทรง ลุ้นเบรก 1570จุดได้อัพไซด์เปิด 1600 จุดเป็นอย่างน้อย

      โดยประเด็นสำคัญในคืนนี้(29 ส.ค.66) เวลา 21.00 น. (ตามเวลาไทย) ติดตามการประกาศตำแหน่งงานใหม่ของสหรัฐฯรายเดือน คาดว่าตัวเลขเดือน ก.ย. จะอยู่ที่ระดับ 9.43 ล้านตำแหน่ง ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 9.58 ล้านตำแหน่ง หากออกมาต่ำกว่าคาดจะสะท้อนภาคแรงงานที่ไม่ได้ร้อนแรงมากนัก ถือเป็นบวกต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง

     รวมทั้ง ติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ เดือน ส.ค. โดยคาดที่ระดับ 116.1 จุด ลดลงเล็กน้อยจากเดือน ก.ค. ที่ 117 จุด ซึ่งหากออกมาต่ำกว่าคาดก็จะเป็นแรงบวกต่อตลาดสินทรัพย์ เสี่ยงเช่นกัน 

     "Price Pattern รอแนวรับแนวต้านกลับตัวเหนือ 1570 ถือว่าโมเมนตัมยังดี เน้นสะสมหุ้น"

เกาะติดปัจจัยใน-นอก

     นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้คาดว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้น โดยมีแรงหนุนจากการเมืองในประเทศที่มีเสถียรภาพมากขึ้น หลังสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงให้กรอบการแกว่งตัวของดัชนีที่ 1,520-1,600 จุด

     ขณะที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) แถลงสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีที่เมืองแจ๊กสัน โฮส รัฐไวโอมิง ส่งสัญญาณขึ้นหรือคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงเพื่อสกัดเงินเฟ้อแม้ว่าจะชะลอตัวลงแต่ยังคงอยู่ที่ระดับสูง ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 78.5% ที่ FED จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือนก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 21.5% ที่ FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.50-5.75%  

       สำหรับการประชุมในเดือนพ.ย. นักลงทุนให้น้ำหนัก 51% ที่ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.50-5.75% และให้น้ำหนักเพียง 38% ที่ FED จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ขณะที่ให้น้ำหนัก 11% ที่ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 5.75-6.00% 

     ด้านเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าคาด ขณะที่กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมจีนในเดือนก.ค. ปรับตัวลง 6.7%YoY ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 7 เนื่องจากการชะลอตัวของอุปสงค์ ส่วนเศรษฐกิจในประเทศ ธปท.เตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจในเดือนก.ย. จากการส่งออกที่ชะลอตัวและภาระหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงฉุดกำลังซื้อ รวมทั้งการที่ ตลท.สรุปมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์สะสม ตั้งแต่ 1 มกราคม-25 สิงหาคม 2566 พบว่านักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิสูงถึง 1.31 แสนล้านบาทเป็นอีกปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยในปีนี้

     ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยที่ต้องจับตาในประเทศ อาทิ วันที่ 31 ส.ค.66 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย และสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) แถลงดัชนีอุตสาหกรรม 

     ส่วนปัจจัยต่างประเทศ อาทิ วันที่ 29 ส.ค. สหรัฐรายงานราคาบ้านเดือน มิ.ย. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือน ก.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ส.ค. จาก Conference Board 

     วันที่ 30 ส.ค. สหรัฐ รายงานตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนส.ค. GDP 2Q66 (ประมาณการครั้งที่ 2) ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) เดือน ก.ค. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ 

     วันที่ 31 ส.ค. จีน รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต-ภาคบริการเดือนส.ค. และอียู รายงานอัตราว่างงานเดือนก.ค. พร้อมทั้งสหรัฐ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ค. ส่วนวันที่ 19-20 ก.ย กำหนดประชุม FED ครั้งถัดไป

     ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนใน 7 หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้แก่ TNP, KK, CPALL, CPAXT, STEC, CK และ ITD และหุ้นได้ประโยชน์จากกรณีญี่ปุ่นปล่อยน้ำปนเปื้อนรังสีลงทะเล ได้แก่ TU, ASIAN, TC และ CFRESH