กรอบราคาทองสัปดาห์นี้2,000-2,045ดอลลาร์ให้เกาะติดตัวเลขเศรษฐกิจตลาดโลก

ฮั่วเซ่งเฮงคาดว่าราคาทองคำสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 2,000-2,045 ดอลลาร์ ส่วนสัปดาห์นี้ติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และการประชุมธนาคารกลางยุโรป ส่วนสหรัฐจะเปิดเผยจีดีพีไตรมาส 4 ประมาณการครั้งที่ 1 และดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานเดือน สัปดาห์นี้ราคาทองคำมีแนวรับอยู่ที่ 2,020 ดอลลาร์ และ 2,000 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 2,040 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,045 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองแท่งในประเทศมีแนวรับ 33,900 บาท และ 33,750 บาท ขณะที่มีแนวต้านที่ 34,200 บาท และ 34,300 บาท

สำหรับปัจจัยที่เกื้อหนุนทิศทางราคาทองให้ร้อนแรงคือ ภาวะเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สงครามยูเครน-รัสเซีย สงครามอิสราเอล-ฮามาส ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยลบได้แก่ ความต้องการทองคำจากจีนลดลง จากเศรษฐกิจจีนที่คาดเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงในปีนี้ และมุมมองที่ว่าเฟดอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค.

สงครามในตะวันออกกลางส่อแววเดือนและนานขึ้น หนุนราคาสินค้าพุ่งสูง

ความตึงเครียดที่มากขึ้นในตะวันออกกลาง หลังจากที่สหรัฐและอังกฤษโจมตีกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ขณะที่กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนตอบโต้ยิงขีปนาวุธใส่เรือพาณิชย์ลำหนึ่งของสหรัฐ ปากีสถานเปิดฉากโจมตีกลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนภายในอิหร่าน หลังจากที่อิหร่านได้โจมตีฐานกลุ่มติดอาวุธที่เชื่อมโยงกับอิสราเอลภายในดินแดนปากีสถาน ขณะที่อิหร่านก็ประกาศล้างแค้นอิสราเอล หลังจากที่อิสราเอลยิงขีปนาวุธถล่มอาคารที่ใช้เป็นฐานทัพของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (IRGC) ในกรุงดามัสกัสของซีเรีย

ด้วยความตึงเครียดที่ส่อแววขยายวงและรุนแรงมากขึ้นนั้น ทำให้ความร้อนระอุในตะวันออกกลางขณะนี้อาจต้องใช้เวลาที่นานขึ้นกว่าจะนำไปสู่ข้อยุติ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกได้ โดย ณ ตอนนี้ ค่าระวางเรือพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์ จากที่ค่าระวางเดิมอยู่ที่ 2,500 ดอลลาร์ ค่าระวางพุ่งสูงขึ้นกว่า 4 เท่า ทำให้ต้นทุนขนส่งทางเรือเพิ่มขึ้นกว่า 15-20% อีกทั้งยังเกิดปัญหาด้านการขนส่ง จากจำนวนเรือขนส่งสินค้ามีไม่เพียงพอ เพราะด้วยเส้นทางที่ต้องแล่นนานขึ้นถึง 7-14 วัน ขึ้นกับท่าเรือที่ให้บริการ ทำให้เกิดปัญหาการขนส่งสินค้าทางเรือ เนื่องจากจำนวนเรือมีจำนวนจำกัด จึงเสี่ยงต่อการขาดแคลนสินค้า หรืออุปสงค์ตึงตัวได้

ทั้งนี้ได้มีการคาดการณ์จากซี อินเทลลิเจนซ์ ที่เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านห่วงโซ่อุปทานทางทะเลชั้นนำ คาดว่าวิกฤติทะเลแดงที่ทำให้การขนส่งต้องหยุดชะงักจะสร้างความเสียหายให้เกิดห่วงโซ่อุปทานมากกว่าวิกฤติโควิดอีก ข้อมูลดังกล่าวมาจากการวิเคราะห์ความล่าช้าของเรือขนส่งสินค้าในปัจจุบันเทียบกับความล่าช้าของเรือขนส่งในช่วงโควิด ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อจำนวนเรือที่สามารถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ได้

ด้วยมาตรวัดห่วงโซ่อุปทาน เรียกว่า “ความจุเรือ” (vessel capacity) ชี้ว่าความจุเรือลดลงมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นรองแค่เหตุการณ์ที่เรือเอเวอร์ กิฟเว่น (Ever Given) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่เกยตื้นขวางคลองสุเอซถึง 6 วันในช่วงเดือนมี.ค.2564 กระทบต่อการค้ามูลค่าหลายพันล้านต้องหยุดชะงัก แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ใช้เวลาที่ยาวนานมากกว่าเดิม แล้วยังมีแนวโน้มจะยาวนานมากขึ้น อาจกระทบต่อเศรษฐกิจได้

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ยุโรป โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานและการค้าผ่านคลองสุเอซ ประเทศในเอเซีย เนื่องจากมีการค้าหนาแน่นกับยุโรป ประเทศในตะวันออกกลาง เนื่องจากการขนส่งและการค้าน้ำมันผ่านเส้นทางทะเลแดง ประเทศในแอฟริกาที่ติดอยู่กับทะเลแดง ได้รับผลกระทบจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับเส้นทางการค้าทางทะเล

โดยเฉพาะประเทศกรีซ จอร์แดน ศรีลังกา และบัลแกเรีย จะได้รับผลกระทบอย่างมาก ประเทศเหล่านี้ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายขนส่งที่เพิ่มขึ้น เวลาการขนส่งที่ยาวขึ้น และการหยุดชะงักของเส้นทางการค้า รวมถึงเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายของสินค้าที่เพิ่มขึ้น และการขาดแคลนในห่วงโซ่อุปทาน

ส่วนสหรัฐก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะการขนส่งที่หยุดชะงักและต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้ส่งผลต่อบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐ อย่างเช่น BDI Furniture ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับของตกแต่งบ้าน ต้องอาศัยโรงงานในตุรกีและเวียดนามมากขึ้น แต่ยังหาเส้นทางเดินเรือทางเลือกอื่น เช่น การขนส่งสินค้าข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังแคลิฟอร์เนีย แล้วขนส่งโดยรถไฟไปยังคลังสินค้าชายฝั่งตะวันออก

เช่นเดียวกับ พวกอุตสาหกรรมการค้าปลีกและยานยนต์ทั่วโลกก็ได้รับผลกระทบ เพราะวิกฤตการณ์ในทะเลแดง ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเออร์สำหรับผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก บริษัทต่าง ๆ เช่น Crocs, IKEA, Walmart, Home Depot และ Amazon กำลังประสบกับความล่าช้าในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ ส่งผลกระทบต่อสิ่งของต่างๆ เช่น เสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ รองเท้า ของใช้ในบ้าน เฟอร์นิเจอร์นอกบ้าน และอุปกรณ์สระว่ายน้ำ บริษัทยานยนต์ รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ภาคพลังงานและน้ำมัน และเศรษฐกิจโลก เสี่ยงต่อการเกิดขึ้นจาก “ภาวะเงินเฟ้อ”

ทั้งนี้จากผลกระทบดังกล่าวอาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด นักลงทุนปรับลดน้ำหนักคาดการณ์เกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนมี.ค. ทั้งนี้ทางฮั่วเซ่งเฮงคาดว่า เฟดอาจจะยังไม่ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค. เฟดอาจจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งระยะสั้นอาจทำให้ราคาทองคำช่วงหลังตรุษจีนไป อาจปรับตัวลงได้ แต่คาดว่าจะไม่ลึกมากนัก ถ้าลงรอบใหญ่มองไว้ที่บริเวณ 1,950-1,960 ดอลลาร์ หากยังยืนแถวบริเวณดังกล่าวนี้ได้ ราคาทองคำยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ในรอบใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม

ผลสำรวจมุมมองต่อทิศทางราคาทองคำในประเทศรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 22 – 26 ม.ค.2567 จากการสำรวจ GRC Gold Survey โดย ศูนย์วิจัยทองคำระุบว่า 14 ผู้เชี่ยวชาญในตลาดทองคำที่ได้มีส่วนร่วมตอบแบบสำรวจ ในจำนวนนี้มี 4 ราย หรือเทียบเป็น 29% คาดว่าราคาทองคำในสัปดาห์หน้าจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 3 ราย หรือเทียบเป็น 21% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง และ จำนวน 7 ราย หรือเทียบเป็น 50% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา

สำหรับนักลงทุนทองคำ ได้เข้าร่วมตอบแบบสำรวจ จำนวน 315 ราย ในจำนวนนี้มี 197 ราย หรือเทียบเป็น 62% คาดว่าราคาทองคำในประเทศของสัปดาห์หน้าจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 62 ราย หรือเทียบเป็น 20% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง และ จำนวน 56 ราย หรือเทียบเป็น 18% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา

สถานการณ์ราคาทองคำ

ราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5% ตามประกาศ สมาคมค้าทองคำ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 33,850 – 34,100 บาท ต่อบาททองคำ โดยราคาทองคำปิดอยู่ที่ระดับ 34,100 บาท ต่อบาททองคำ เพิ่มขึ้น 250 เมื่อเปรียบเทียบกับราคาปิดของสัปดาห์ก่อนหน้า (สัปดาห์ก่อนหน้าปิดที่ 33,850 บาท) ดูรายงาน GRC ฉบับก่อนหน้า

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

1. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่า เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะคงดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป หลังเจ้าหน้าที่ FED บางรายแสดงความคิดเห็นว่าไม่จำเป็นต้องรีบลดดอกเบี้ย

2. การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางกลางยุโรป (ECB) คาดการณ์ว่า ECB จะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิมต่อไป และตลาดจะจับตาการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ ECB เกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย

3. การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คาดการณ์ว่า BOJ จะยังไม่ยุตินโยบายผ่อนคลายการเงินเป็นพิเศษในเร็ว ๆ นี้ หลังจากการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อเมื่อเดือน ธันวาคม 2566 ของญี่ปุ่นที่ชะลอตัว

4. รายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน, ยอดขายบ้านใหม่, รายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคพื้นฐานส่วนบุคคล (Core PCE Price Index) เมื่อเดือน ธันวาคม 2566, ดัชนี PMI เดือน มกราคม 2567 (เบื้องต้น) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.