“ยสท.” ตั้งทีมศึกษายกเครื่องภาษีบุหรี่ คาดได้ข้อสรุป ภายใน 2 เดือน
นายภูมิจิตต์ พงษ์พันธุ์งาม ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ยสท. อยู่ระหว่างการเร่งศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการปรับโครงสร้างภาษียาสูบในทุกมิติ เพื่อให้มีความเหมาะสม และให้ ยสท. สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ซึ่งจะออกมาเป็นโซลูชั่นเพื่อให้เห็นภาพอย่างละเอียด ภายใน 2 เดือนนี้
ทั้งนี้เนื่องจาก ยสท. มองว่า การใช้โครงสร้างภาษียาสูบแบบ 1 อัตรา (tier) ไม่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมยาสูบ และอาจจะส่งผลกระทบกับ ยสท. หนักกว่าเดิม เพราะปัจจุบันที่มีการใช้โครงสร้างภาษียาสูบแบบ 2 tier ก็ทำให้การแข่งขันในตลาดค่อนข้างสูง โดยบุหรี่ราคาต่ำกว่า 60 บาท ต้องปรับขึ้นไปขายที่ราคา 60 บาทขึ้นไป ขณะที่บุหรี่ต่างประเทศจากที่เคยขาย 90 บาทขึ้นไป ก็ปรับราคาลงมาเล่นที่ 60-80 บาท ตรงนี้ทำให้ผู้บริโภคหันไปบริโภคบุหรี่ต่างประเทศมากขึ้น ส่งผลกระทบกับ ยสท. อย่างมาก
“ภาษียาสูบแบบ 1 tier น่าจะส่งผลกระทบหนักกว่าโครงสร้างภาษี 2 tier ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแน่นอน ซึ่งหากพิจารณากันจริง ๆ แล้ว โครงสร้างภาษีแบบ 2 tier ก็ไม่เหมาะสมกับเราเช่นกัน จึงได้ตั้งทีมขึ้นมาเพื่อศึกษาโครงสร้างภาษียาสูบในทุกมิติ เพื่อให้เรายังสามารถแข่งขันในตลาดได้ โดยยอมรับว่าเราไม่ได้คาดหวังว่าจะกลับมาแข็งแกร่งเหมือนเดิม แต่อยากให้หน่วยงานยังคงมีกำไรอยู่บ้าง เพื่อให้สามารถดูแลพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายภูมิจิตต์ กล่าว
นายภูมิจิตต์ กล่าวอีกว่า ในปี 2567 ยสท. ตั้งเป้าหมายกำไรเติบโตที่ 400 ล้านบาท จากปีนี้ที่มีกำไร 219 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะมาจากการปรับกลยุทธ์การบริหาร จากปกติรายได้ 99% มาจากการขายในประเทศเป็นหลัก แต่ตั้งแต่ปี 2566 ยสท. ได้เริ่มมีการหันไปจำหน่ายบุหรี่ ใบยา และยาเส้นในต่างประเทศมากขึ้น โดยเน้นการส่งออกไปในประเทศที่ยังไม่มีความแข็งแรงด้านสาธารณสุขมากนัก เช่น พม่า กัมพูชา ซึ่งตลาดยาสูบยังมีแนวโน้มการเติบโต จากความต้องการบริโภคที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ในมือ ขณะเดียวกันมองว่าในอนาคตหากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย ยสท. ก็น่าจะมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจดังกล่าวได้ด้วย
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ ยสท. ปรับลดลงอย่างมาก ตั้งแต่มีการปรับโครงสร้างภาษียาสูบที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลให้เหตุผลว่าในมิติของสาธารณะสุขเพื่อให้มีผู้บริโภคบุหรี่ลดลง แต่ในความเป็นจริง ผู้บริโภคไม่ได้ลดลงเลย เนื่องจากแม้ราคาบุหรี่จะปรับเพิ่มสูงขึ้น ผู้บริโภคก็หันไปบริโภคยาเส้นแทน ซึ่งมีอัตราภาษี 0% เช่น ยาเส้นมวนเอง 20 มวน มีราคาไม่ถึง 20 บาทด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันยังมีปัญหาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นทุกปี และยังมีบุหรี่เถื่อนที่ลักลอบเข้ามาขายอย่างต่อเนื่อง ตรงนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักกับ ยสท.
โดยจากข้อมูล พบว่า ในปี 2560 ยสท. มีกำไรอยู่ที่ 9.34 พันล้านบาท ปริมาณการจำหน่ายอยู่ที่ 1.14 พันล้านซอง คิดเป็น 2.88 หมื่นล้านมวน และมีกำไรต่อซองอยู่ที่ 6.49 บาท โดยหลังจากมีการปรับโครงสร้างภาษียาสูบในปี 2561 ส่งผลให้ตัวเลขผลการดำเนินงานในทุกมิติของ ยสท. ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จนล่าสุดผลการดำเนินงานในปี 2566 มีกำไรอยู่ที่ 219 ล้านบาท ปริมาณการจำหน่าย อยู่ที่ 701 ล้านซอง คิดเป็น 1.4 หมื่นล้านมวน กำไรต่อซอง ลดลงมาอยู่ที่ 0.31 บาท ลดลงกว่า 97.76%
“ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ตลาดยาเส้นมวนเองมีอัตราการเติบโตถึง 1 เท่าตัว โดยในปี2560 บุหรี่อยู่ที่ 3.64 หมื่นล้านมวน ขณะที่ยาเส้นมวนเอง อยู่ที่ 1.25 หมื่นล้านมวน แต่คาดการณ์ในปี 2566 นั้น มีแนวโน้มว่าตลาดยาเส้นมวนเองจะขยายตัวเพิ่มเป็น 2.8 หมื่นล้านมวน ส่วนบุหรี่จะลดลงเหลือ 2.68 หมื่นล้านมวน ส่วนการแพร่ระบาดของบุหรี่ที่ผิดกฎหมายก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในไตรมาส 2/2566 มีสัดส่วนสูงถึง 22.3% จากไตรมาส 4/2565 มีสัดส่วนเพียง 15.5% เท่านั้น” นายภูมิจิตต์ กล่าว
โดยมองว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤติในอุตสาหกรรมบุหรี่ มาจาก 6 ปัจจัย ได้แก่ 1. โครงสร้างภาษี 2. การแข่งขันในอุตสาหกรรมบุหรี่ 3. ความไม่เท่าเทียมกันในด้านภาษี 4. Earmarked Tax และ 5. Local Content 6. ความคล่องตัวของภาครัฐ ซึ่งในส่วนนี้ ยสท. มองว่าอาจจะต้องมีการทบทวนตัวเองว่ายังเหมาะสมกับการขายหรือไม่ ถ้าไม่ก็อาจจะมีการจ้างหรือตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในส่วนนี้แทน
อย่างไรก็ดี ในส่วนของการดูแลเกษตรกรผู้ปลูกใบยานั้น ที่ผ่านมา ยสท. ให้การสนับสนุนนชาวไร่ตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูกจนถึงกระบวนการรับซื้อใบยา รวมถึงยังจัดหาใบยาจากผู้บ่มอิสระอีกจำนวนหนึ่งด้วย โดยปัจจุบัน ยสท. มีโควตาการรับซื้อใบยาเวอร์ยิเนีย 4.73 ล้านกิโลกรัม ใบยาเบอร์เลย์ 7.1 ล้านกิโลกรัม และใบยาเตอร์กิซ 2 ล้านกิโลกรัม และจากสถานการณ์ใบยาโลกในปีนี้ พบว่า ใบยาเบอร์เลย์ขาดแคลน ใบยาเตอร์กิซราคาต่ำกว่าตลาดโลก ไทยจึงสามารถแข่งขันได้ เพราะเป็นที่ต้องการของตลาด ขณะที่ใบยาเวอร์ยิเนียมีราคาสูงกว่าตลาดโลก จึงยากในการระบายออกไปตลาดโลก ขณะที่ ยสท.เองมีใบยาเวอร์ยิเนียคงคลังมากกว่า 2.9 ล้านกิโลกรัม แต่ ยสท. ยินดีในการแบกรับและช่วยเหลือชาวไร่และผู้บ่มใบยาเวอร์ยิเนีย
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.