ไม่ฟื้น! 4 หุ้นเครื่องดื่มโดนราคาน้ำตาลกดกำไรร่วงต่ำ จังหวะนี้น่าซื้อ ?
ราคาหุ้น SAPPE ปิดการซื้อขายเช้านี้(23 พ.ย.2566) อยู่ที่ 76.50 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง
ราคาหุ้น CBG อยู่ที่ 79.50 บาท ลดลง 0.25 บาท คิดเป็น -0.31%
ราคาหุ้น OSP อยู่ที่ 23.70 บาท ลดลง 0.10 บาท คิดเป็น -0.42%
ราคาหุ้น KCG อยู่ที่ 8.90 บาท ลดลง 0.05 บาท คิดเป็น -0.56%
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า รัฐบาลไทยอนุมัติให้ขึ้นราคาขายน้ำตาลในประเทศ 2 บาท/กก. หรือ 10.5% (จาก 19 บาท/กก.) โดยมีผลทันที ทั้งนี้ เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลในตลาดส่งออกจะอ้างอิงกับราคาในตลาดโลก ซึ่งเราคาดว่าจะ เพิ่มขึ้นอีก 29% yoy ในปี 2024F ดังนั้น บริษัทที่มีรายได้จากการส่งออกสูง อย่างเช่น SAPPE (สัดส่วนรายได้จากการส่งออก 80%) จะได้รับผลกระทบมากกว่า
จากการประเมินผลกระทบต่อบริษัทในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และปรับลดราคาเป้าหมายของ CBG ลง 4.8% เหลือ 93.60 บาท, ของ OSP ลง 2.2% เหลือ 35.70 บาท และของ KCG ลง 1.6% เหลือ 11.80 บาท นอกจากนี้ เรายังปรับเพิ่มคำแนะนำ KCG เป็นซื้อ (ราคาเป้าหมาย 11.80 บาท) จากแนวโน้มกำไรที่ยังดี ขณะที่มองว่าราคาหุ้นที่ย่อลงมาถึง 16.5% ในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเป็นการลดลงเกินกว่าเหตุ
ตัวแปรที่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการได้แก่ 1) สัดส่วนของต้นทุนน้ำตาลใน COGS 2) สัดส่วนของยอดขายในต่างประเทศ ซึ่งต้นทุนจะอิงกับราคาที่สูงกว่า (เพราะราคาในประเทศมีการควบคุมมากกว่า) เพราะอิงกับราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่ผันผวนมากกว่า 3) ระดับอัตรากำไรสุทธิ (net margin) ซึ่งยิ่งสูงก็จะยิ่งช่วยรองรับผลกระทบของต้นทุนที่สูงขึ้นได้ดีขึ้น
ฝ่ายฯประเมินว่า SAPPE จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากต้นทุนน้ำตาลที่สูงขึ้นจะทำให้กำไรจากธุรกิจหลักของ SAPPE ลดลง 6.3%, CBG ลดลง 5%, OSP ลดลง 2.8% และ KCG ลดลง 1%
โดยฝ่ายวิเคราะห์แนะนำซื้อหุ้น 4 ตัวในกลุ่มนี้ที่ฝ่ายฯศึกษาอยู่ เพราะเชื่อว่าราคาหุ้นย่อลงมามากเกินไปจากประเด็นการขึ้นราคาน้ำตาล ชอบ SAPPE มากที่สุดเนื่องจากคาดว่ารายได้จะเติบโตสูงที่สุดที่ 24% CAGR ในอีกสามปีข้างหน้า ขณะที่เชื่อว่า CBG จะเป็นหุ้นที่ดีที่สุดสำหรับเล่นตามโมเมนตัม จาก upside ของธุรกิจเบียร์
SAPPE ยังแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ดี ฝ่ายฯประเมินว่าต้นทุนน้ำตาล "บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE" คิดเป็น 5% ของ COGS และเนื่องจากคาดว่าราคาน้ำตาลจะเพิ่มขึ้นประมาณ 25% yoy (ค่อนข้างสูงเพราะสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 80%) ทำให้เราปรับลดประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นปี 2024F ลง 1.4ppt เหลือ 42% ซึ่งจะกระทบกับกำไรจากธุรกิจหลักประมาณ 6% ฝ่ายฯปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของยอดขายปี 2024F ขึ้นอีก 3% เป็น 20% (ขอบล่าง ของช่วงประมาณการของบริษัท) ดังนั้น การปรับสมมติฐานหลักทั้งสองประการข้างต้นจึงส่งผลสุทธิต่อประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักในปี 2024F ที่ -3.3%
และด้วยอัตราการใช้กำลังการผลิตในปัจจุบันอยู่ที่ 80% SAPPE จึงเพิ่มสายการผลิตที่ 5 จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 25% เพื่อให้สอดรับกับอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ บริษัทยังเพิ่มโกดังสินค้าใหม่อีกหนึ่งแห่งด้วย โดยงบลงทุน (CAPEX) รวมในปี 2024F อยู่ที่ 900 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นการลงทุนในสายการผลิตใหม่ 400 ล้านบาท และ ในโกดังสินค้า 430 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้สำหรับการซ่อมบำรุง
โดยประเมินราคาเป้าหมายของ SAPPE โดยวิธี DCF โดยราคาหุ้น SAPPE ในปัจจุบันคิดเป็น P/E ปี 2024F ที่ 19.5x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มเครื่องดื่มที่ 21.8x มองว่าความเสี่ยงหลักอยู่ที่ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับกำไรจากธุรกิจหลัก
"เรานำอัตราการเติบโตของรายได้ปี 2024F ตามประมาณการใหม่ของผู้บริหารที่ 20-25% มาพิจารณา (เราใช้ประมาณการที่ 20%) รวมถึงราคาน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น 25% ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง 1.3 ppt yoy (เหลือ 42%) ในปี 2024F โดยสรุปแล้ว เราปรับลดประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักในปี 2024F ลง 3.3% และปี 2025F ลง 3.1% 2025F เพื่อสะท้อนถึงผลของราคาน้ำตาลส่งผลให้ราคาเป้าหมายของเราลดลง 3.7% เหลือ 115 บาท
อย่างไรก็ตาม เราพบว่าผู้บริหารยังคงคาดว่าประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนจากโรงงานใหม่ (สายการผลิต ที่ 5) จะช่วยชดเชยผลการราคาน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น และคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2024F จะทรงตัว yoy (อยู่ที่ 43.3%) หากเป็นไปตามนี้จริงจะทำให้ราคเป้าหมายของเรามี upside อีก 6.3%"
CBG เบียร์คือตัวขับเคลื่อนตัวใหม่
ผู้บริหารของ "บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG" มองว่าาธุรกิจเบียร์ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของบริษัทน่จะทำกำไรให้ประมาณ 1,000 ล้านบาทในปี 2024F โดยคร่าวๆจะมาจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ 600 ล้านบาท และจากธุรกิจการจัดจำหน่าย 400 ล้านบาท
นอกจากนี้ เบียร์คาราบาวจะยังช่วยจ่ายค่าสปอนเซอร์ English Football League (EFL) ครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้ CBG ประหยัดเงินไปได้ปีละ 120 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น เบียร์คาราบาวยังจะจ่ายค่า royalty fee 50-60 ล้านให้กับ CBG ในการใช้แบรนด์คาราบาว
ทั้งนี้ ในประมาณการกำไรปี 2024F ของเรา เราใส่กำไรไว้ประมาณครึ่งหนึ่งของศักยภาพที่บริษัทจะทำได้จากธุรกิจเบียร์ หรือคิดเป็นเพียง 464 ล้านบาท เพราะเราอยากรอติดตามความสำเร็จของธุรกิจเบียร์ก่อน หากบริษัทสามารถทำกำไรจากธุรกิจเบียร์ได้เต็มศักยภาพ (928 ล้านบาท) ก็จะทำให้ราคาเป้าหมายของเรามี upside อีก 14% (เป็น 112 บาท)
ฝ่ายฯพบว่าส่วนแบ่งตลาดในประเทศของ CBG เพิ่มขึ้นเป็น 22.7% ในเดือนตุลาคม 2023 จาก 21.1% ในเดือนมิถุนายน 2023 เพราะบริษัทเป็นผู้เล่นเพียงรายเดียวที่ยังคงยืนราคาขายเอาไว้ที่ 10 บาท/ขวด (ผู้เล่นรายอื่นๆขึ้นราคาเป็น 12 บาทหมดแล้ว) เราคิดว่าบริษัทน่าจะยังคงได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีกพอสมควรหลังจากที่ผู้เล่นรายอื่นๆหันไปเน้นที่อัตรากำไรมากกว่าการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด
โดยใช้ราคาเป้าหมายที่คำนวณโดยวิธี DCF เราชอบ CBG ในแง่ของผลกำไรที่พลิกฟื้นจากต้นทุนที่ลดลง (อย่างเช่น อลูมิเนียม) และยอดขายในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยความเสี่ยงหลักอยู่ที่ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับกำไรของบริษัท
"เราปรับลดราคาเป้าหมายลง 4.8% เหลือ 93.60 บาท เพื่อสะท้อนถึงผลกระทบจากการขึ้นราคาน้ำตาล ซึ่งทำให้เราปรับลดประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักปี 2024F ลง 5% และปี 2025F ลง 4.5% เรามองว่า CBG เป็นบริษัทที่ได้รับผลกระทบมากเป็นอันดับสองจากการขึ้นราคาน้ำตาล รองจาก SAPPE (กำไรจากธุรกิจหลักในปี 2024F ลดลง 6.3%) อย่างไรก็ตาม เรายังคงมองบวกกับ upside จากธุรกิจเบียร์ ซึ่งคาดว่ากำไรจะคิดเป็น 15.2% ของกำไรจากธุรกิจหลักในปี 2024F"
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.