TIDLOR โชว์งบไตรมาส 3/66 กำไรนิวไฮ 1,007 ล้าน หั่นเป้า NPL ปีนี้เหลือ 1.65%

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,007 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.7% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 901 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 4,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.0% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,930 ล้านบาท  

ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 3,574 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของธุรกิจ และต้นทุนทางการเงินที่ปรับเพิ่มขึ้น ตามการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 3/2566 บริษัทมีพอร์ตสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 91,888 ล้านบาท ขยายตัว 21.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยบัตรติดล้อยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักสนับสนุนการเติบโตธุรกิจสินเชื่อ ซึ่งปริมาณการใช้งานบัตรยังคงขยายตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคงรักษาคุณภาพพอร์ตสินเชื่อได้เป็นอย่างดี 

สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ระดับ 1.51% ลดลงจาก 1.54% ในไตรมาสก่อน ซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม และยังคง NPL coverage ratio ในระดับสูงที่ 264% เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่วนของต้นทุนด้านเครดิต (Credit Cost) ในปีนี้ ยังคงอยู่ในกรอบที่ตั้งไว้

นอกจากธุรกิจสินเชื่อ อีกธุรกิจหลักซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทแข็งแกร่ง คือ ธุรกิจนายหน้าประกันภัย โดยดำเนินธุรกิจภายใต้ แบรนด์ “ประกันติดล้อ” ซึ่งเป็นแบรนด์นายหน้าประกันภัยที่มุ่งเน้นลูกค้ารายย่อยอันดับ 1 ที่มีจุดเด่นด้านการให้คำปรึกษาและเสนอขายประกันภัยอย่างใกล้ชิด (Face-to-Face Marketing) 

โดยในไตรมาส 3/2566 เบี้ยประกันวินาศภัยขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือน ปี 2566 มียอดเบี้ยประกันวินาศภัยรวม 6,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเติบโตได้ดีทั้งช่องทางออฟไลน์ ช่องทางดิจิทัล และแพลตฟอร์มอารีเกเตอร์ 

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,889 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,823 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 13,709 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.7% จากวงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 10,907 ล้านบาท

“ในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2566 เรายังคงสามารถสร้างผลประกอบการที่ดี ถึงแม้ภาคอุตสาหกรรมการเงินจะได้รับแรงกดดันจากภาวะอัตราดอกเบี้ยสูง และปัจจัยด้านเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่มีความไม่แน่นอน แต่บริษัทยังคงสามารถเดินหน้าสร้างการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ โดยทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังคงมุ่งเน้นการใช้พื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง เพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทั้งด้านธุรกิจสินเชื่อและธุรกิจนายหน้าประกันภัยอย่างต่อเนื่อง” นายปิยะศักดิ์ กล่าว

ขณะที่พอร์ตสินเชื่อรวมและธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และต้นทุนด้านเครดิต (Credit Cost) อยู่ในทิศทางตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และทำการปรับลดเป้า NPL ในปีนี้ลงจากไม่เกิน 1.8% มาที่ไม่เกิน 1.65% 

ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง การจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารคุณภาพสินเชื่ออย่างรัดกุม รวมถึงมีการตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสมและเพียงพอเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจและความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ 

โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นการเติบโตพอร์ตอย่างมีคุณภาพภายใต้การควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่เข้มงวดและนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างผลกำไรได้ตามเป้าหมาย ในขณะที่ยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้เป็นอย่างดี 

ทั้งนี้ ณ เดือน ต.ค.2566 บริษัทยังคงได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรและอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ที่ระดับ “A” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” จากทริสเรทติ้ง ซึ่งถือว่าเป็นอันดับสูงสุดในผู้เล่นอุตสาหกรรมเดียวกัน และได้รับการจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดีในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) เป็นครั้งแรก

บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า มีมุมมอง Slightly Positive ต่อกำไรสุทธิไตรมาส 3/2566 ที่ 1,007 ล้านบาท ดีกว่าคาด เพราะค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ต่ำคาด โดยกำไรเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน ผลักดันจาก 1.สินเชื่อรวมเติบโต 21% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน คิดเป็น เพิ่มขึ้น 13% YTD จากความต้องการสินเชื่อที่มีอยู่มาก ความสำเร็จของบัตรติดล้อ และการเปิดสาขาเพิ่ม 2.การเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมการขายประกัน ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio อยู่ที่ 1.51% ลดลงจากไตรมาส 2/2566 ที่ 1.54%

ดังนั้น คงคำแนะนำ BUY และคงราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 30 บาท จากภาพรวม TIDLOR ที่ผลประกอบการครึ่งหลังปี 2566-ปี 2567 คาดฟื้นตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี ทั้งการควบคุมเรื่องหนี้เสีย และความเพียงพอในการตั้งสำรองหนี้เสีย รวมทั้งราคาหุ้นปรับระดับลง 19% YTD มองว่าราคาหุ้นตอบรับปัญหาเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ไปแล้ว 

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.