25 ปี ประตูไฟ "ธวัชชัย" ยิงดับฝันเกาหลีใต้ ศึกเอเชียนเกมส์
หากจะจัดอันดับประตูสุดสวยของทีมชาติไทยตลอดกาล หนึ่งในลูกยิงที่อยู่ในท็อปลิสต์คงหนีไม่พ้นลูกยิงฟรีคิกของ ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ในเกมพบทีมชาติเกาหลีใต้ ในศึกเอเชียนเกมส์ 1998 แน่นอน
ลูกยิงดังกล่าวไม่ได้มีแค่เพียงความสวยงามจากการตะบันไกลเต็มข้อระยะกว่า 30 หลาเท่านั้น แต่ยังอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวมากมายในทุกวินาทีของเกมที่แสนจะกดดัน จนใครหลายคนถึงขั้นยกขึ้นหิ้งให้เป็น “ลูกยิงแห่งปาฏิหาริย์”
ลูกยิงลูกนี้มีความสำคัญอย่างไร และทำไมจึงได้รับการพูดถึงมานานหลายสิบปี Main Stand ขอชวนร่วมย้อนเวลาไปด้วยกัน
ปี ค.ศ. 1998 หรือ พ.ศ. 2541 เป็นเวลา 1 ปีที่ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เรียกกันว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2540 ถนนทุกสายเต็มไปด้วยผู้คนสีหน้าเคร่งเครียดที่ไม่รู้ว่าชีวิตวันรุ่งขึ้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
สิ่งเดียวที่พอจะช่วยเยียวยาจิตใจของผู้คนในเวลานั้นได้คือการร่วมติดตามและส่งเสียร์เชียร์ทัพนักกีฬาไทยในศึกเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 ซึ่งกรุงเทพมหานครได้รับโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 6-20 ธันวาคม เอเชียนเกมส์ครั้งนี้นับเป็นสมัยที่ 4 ที่ประเทศไทยได้รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าบ้าน แม้จะจัดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดี แต่ทุกฝ่ายยังได้พยายามร่วมมือร่วมใจกันจนผลักดันให้การแข่งขันถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสมศักดิ์ศรี เพื่อหวังว่าจะช่วยสร้างรอยยิ้มและเติมกำลังใจเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยทั้งประเทศ แน่นอนว่ากีฬามหาชนอย่างฟุตบอลคือหนึ่งในรายการสำคัญที่ผู้คนต่างจับจ้อง
ฟุตบอลไทยในห้วงเวลานั้นกำลังอยู่ในยุคเฟื่องฟู ผลผลิตจากทัพนักเตะชุดดรีมทีมต่างทยอยตบเท้าขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญ พวกเขาคว้าเหรียญทองซีเกมส์มาแล้ว 3 สมัยติด รวมถึงแชมป์อาเซียน หรือ ไทเกอร์ คัพ สมัยแรกในปี 1996 พร้อมมีสตาร์ระดับแม่เหล็กมากมายที่แฟนบอลเฝ้าคอยติดตาม ไม่ว่าจะเป็น “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, “อัลเฟรด” เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์, ดุสิต เฉลิมแสน, ตะวัน (ธชตวัน) ศรีปาน และอีกหลายราย
ทว่าก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์เพียง 3 เดือน ความสำเร็จที่สร้างขึ้นมาแทบจะพังทลายลงจากแมตช์ที่เป็นข้อครหาในศึกไทเกอร์คัพ ครั้งที่ 2 ปี 1998 ที่พบกับอินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองฝั่งต่างไม่อยากเป็นผู้ชนะเพื่อเลี่ยงการเป็นแชมป์กลุ่มแล้วต้องเดินทางข้ามเมืองกว่า 1,500 กิโลเมตร จากโฮจิมินห์ไปฮานอย เพื่อเจอกับเจ้าภาพเวียดนามที่ยืนรออยู่ในรอบต่อไป ทำให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ต้องเร่งหาทางกอบกู้ศรัทธาของแฟนบอลให้กลับคืนโดยเร็ว เพื่อให้สมศักดิ์ศรีการเป็นทีมอันดับ 43 ของโลก ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1998 หรือหลังจบศึกอาเซียนครั้งดังกล่าวเพียงไม่กี่วัน ด้วยการตัดสินใจแต่งตั้ง ปีเตอร์ วิธ กุนซือชาวอังกฤษ มารับหน้าที่เฮดโค้ชก่อนศึกเอเชียนเกมส์เพียง 1 เดือน
ทำให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ต้องเร่งหาทางกอบกู้ศรัทธาของแฟนบอลให้กลับคืนโดยเร็ว เพื่อให้สมศักดิ์ศรีการเป็นทีมอันดับ 43 ของโลก ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1998 หรือหลังจบศึกอาเซียนครั้งดังกล่าวเพียงไม่กี่วัน ด้วยการตัดสินใจแต่งตั้ง ปีเตอร์ วิธ กุนซือชาวอังกฤษ มารับหน้าที่เฮดโค้ชก่อนศึกเอเชียนเกมส์เพียง 1 เดือน
อดีตศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษ โด่งดังสมัยยังค้าแข้งโดยเฉพาะการเป็นผู้ยิงประตูชัยพาทีมแอสตัน วิลล่า คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพมาแล้วเมื่อปี 1982 แต่ในบทบาทโค้ชเขาแทบจะไม่เคยได้พิสูจน์ฝีมือมาก่อนเลย ก่อนมาคุมทีมชาติไทยเจ้าตัวเพิ่งคุมทีมสโมสรเป็นครั้งแรกกับวิมเบิลดัน โดยทำผลงานชนะเพียงเกมเดียวจาก 13 เกมในลีก ก่อนจะถูกปลดจากตำแหน่งเพียง 105 วันหลังรับงาน
นอกจาก ปีเตอร์ วิธ แล้วทีมชาติไทยยังได้ดึง ธวัชชัย (วนัสธนา) สัจจกุล และ วิรัช ชาญพานิชย์ สองบุคคลผู้ก่อตั้งดรีมทีมกลับมาดูแลทีมอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม พร้อมเรียกนักเตะที่หลุดโผจากศึกไทเกอร์ คัพ อย่าง เกียรติศักดิ์, ตะวัน, ดุสิต และ ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล เข้ามาติดธงร่วมกับ นที ทองสุขแก้ว, วรวุฒิ ศรีมะฆะ และ สุรชัย จตุรภัทรพงศ์
สถานการณ์ของทีมชาติไทยเวลานั้นจึงเรียกได้ว่าลูกผีลูกคนสุด ๆ และไม่มีใครคาดคิดว่าทีมชุดนี้จะทำผลงานเทียบประวัติศาสตร์รุ่นพี่ที่เคยคว้าอันดับ 4 ในเอเชียนเกมส์เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1990 ได้อย่างแน่นอน
.
ฟุตบอลในศึกเอเชียนเกมส์ถือเป็นรายการที่ทุกชาติในทวีปให้ความสำคัญ เนื่องด้วยยุคนั้นยังไม่มีการจำกัดอายุ ทุกชาติจึงพยายามส่งผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดมาชิงชัย เปรียบเสมือนเป็นศึกชิงแชมป์เอเชียย่อม ๆ
ซึ่งเอเชียนเกมส์ 1998 ยังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นเนื่องจาก อิหร่าน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ 3 ชาติที่ได้เป็นตัวแทนทวีปเอเชียไปลุยศึกฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศสช่วงกลางปี ต่างพร้อมใจกันขนสตาร์ดังมาฟาดแข้งกันอย่างเต็มอิ่ม ขาดเพียง ซาอุดีอาระเบีย อีกหนึ่งชาติในฟุตบอลโลกที่ไม่ส่งนักกีฬาทุกประเภทมาแข่งขันในเอเชียนเกมส์ครั้งนี้
ขณะที่แฟนบอลไทยเองก็คึกคักกันทั่วประเทศ เพราะฝ่ายจัดได้กระจายการจัดการแข่งขันไปตามจังหวัดต่าง ๆ ถึง 9 สนาม ประกอบด้วย สนามราชมังคลากีฬาสถาน, สนามศุภชลาศัย, สนามสมโภช 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่, สนามติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา, สนามศรีนครลําดวน จังหวัดศรีสะเกษ, สนามสนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรี, สนามกีฬากลางจังหวัดนครสวรรค์, สนามกีฬากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี และสนามกีฬากลางจังหวัดตรัง
ในรอบแรกมีทีมลงชิงชัยทั้งสิ้น 23 ทีม แบ่งเป็น 8 กลุ่ม (มีกลุ่มหนึ่งที่มี 2 ทีม) คัดอันดับ 1-2 ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป โดยทีมชาติไทย ลงเล่นที่สนามศุภชลาศัย อยู่ในกลุ่ม F ร่วมกับ โอมาน และ ฮ่องกง ซึ่งไม่ใช่งานที่เหลือบ่ากว่าแรง สามารถคว้ากำชัยได้สองนัดรวด เหนือฮ่องกง 5-0 และ โอมาน 2-0 ผ่านเข้ารอบไปได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่รอบสอง ทีมไทย โคจรไปอยู่กลุ่มที่ 4 ร่วมกับ กาตาร์, คาซัคสถาน และ เลบานอน คัดอันดับ 1-2 ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ 8 ทีมสุดท้าย โดยเปิดฉากมาสองเกมแรก ทีมไทยลงฟาดแข้งที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เก็บได้ 4 คะแนน จากการเสมอคาซัคสถาน 1-1 และชนะเลบานอน 1-0 รั้งตำแหน่งผู้นำร่วมกับคาซัคสถาน
แม้จะออกสตาร์ทไม่แย่แต่สถานการณ์ก่อนเกมสุดท้ายยังต้องลุ้นหนัก เนื่องจากคาซัคสถานมีคิวพบเลบานอนบ๊วยของกลุ่มที่แพ้รวด จึงขอแค่เสมอก็จะลอยลำทันที ส่วนไทยต้องเจอกับของแข็งอย่างกาตาร์ที่มี 3 คะแนน ซึ่งถ้าแพ้จะโดนแซง
แต่สุดท้ายเป็นคาซัคสถานที่พลิกล็อกแพ้ให้กับเลบานอน 0-3 ขณะที่ไทยพ่ายกาตาร์ 1-2 ทำให้กาตาร์มี 6 คะแนนแซงเป็นแชมป์กลุ่ม ส่วนไทยมีคะแนนเท่ากับคาซัคสถานแต่ผลต่างประตูได้เสียดีกว่า 1 ลูก ผ่านเข้ารอบในฐานะอันดับ 2 อย่างเฉียดฉิว
ณ เวลานั้นกระแสแฟนบอลทั่วประเทศต่างคึกคักกันอย่างมาก แม้ว่ารอบต่อไปทีมไทยจะต้องเผชิญหน้ากับยอดทีมอย่างเกาหลีใต้ เจ้าของ 3 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และ 1 เหรียญทองแดงในรายการนี้ก็ตาม
ที่สำคัญนอกจากปี 1986 ที่พวกเขาคว้าแชมป์ได้ในบ้านตัวเองแล้ว อีก 2 เหรียญทองที่ทำได้ในปี 1970 และ 1978 ล้วนเกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย
ท่ามกลางแสดงแดดและอุณหภูมิร้อนระอุช่วงเวลาบ่าย 2 ของวันที่ 14 ธันวาคม 2541 แฟนบอลกว่า 6 หมื่นชีวิตจากทั่วทุกสารทิศพร้อมใจกันหลั่งไหลเข้าสู่ราชมังคลากีฬาสถาน สังเวียนฟาดแข้งศึกเอเชียนเกมส์ รอบ 8 ทีมสุดท้าย เพื่อเฝ้ารอขุนพลทีมชาติไทย ลงสนามปะทะ ทีมชาติเกาหลีใต้
เกาหลีใต้เพิ่งพลาดท่าตกรอบฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศสมาหมาด ๆ ทัวร์นาเมนต์นี้จึงเปิดโอกาสให้แข้งดาวรุ่งหลายรายก้าวขึ้นมาผสมผสานกับทีมชุดใหญ่ ภายใต้การกุมบังเหียนของกุนซือคนใหม่ ฮู จุง-มู อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติที่ประสบความสำเร็จทั้งการเป็นผู้เล่นและผันตัวมาเป็นโค้ชระดับสโมสร
แม้จะไม่ได้ใช้นักเตะชุดที่ดีที่สุดมากรำศึก แต่ผู้เล่นทุกรายล้วนแต่มีประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพมากกว่านักเตะไทย ที่สำคัญหลายรายได้เคยไปสัมผัสประสบการณ์บนเวทีโลกมาแล้วทั้ง ชเว ยอง-ซู และ อี ดอง-กุ๊ก สองกองหน้าตัวความหวัง รวมถึง ยู ซัง-ชุล มิดฟิลด์ตัวเก่ง และคิม บุง-จี นายด่านมือ 1 ที่ลงเฝ้าเสาในฟุตบอลโลกตลอดรอบแรก
ขณะที่ทีมชาติไทยส่ง 11 ตัวจริง ประกอบด้วย ผู้รักษาประตู : ชัยยง ขำเปี่ยม, กองหลัง : ดุสิต เฉลิมแสน, สุรชัย จิระศิริโชติ, นที ทองสุขแก้ว, พัฒนพงษ์ ศรีปราโมช, กฤษดา เพี้ยนดิษฐ์, กองกลาง : ตะวัน ศรีปาน, สุรชัย จตุรภัทรพงศ์, เสนาะ โล่งสว่าง, กองหน้า : เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, วรวุฒิ ศรีมะฆะ
ทันทีที่เสียงนกหวีดดัง ทัพนักเตะไทยได้แสดงให้แฟนบอลได้เห็นว่าพวกเขาสามารถต่อกรกับยอดทีมระดับทวีปได้อย่างไม่เป็นรอง และสามารถยันเสมอไว้จนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 0-0
สู้กันต่อครึ่งหลัง ไทยต้องเสียเปรียบตัวผู้เล่นตั้งแต่นาทีที่ 55 เมื่อ วรวุฒิ ศรีมะฆะ ไปชักศอกใส่คู่แข่งจากจังหวะต่อเนื่องที่โดนเบียดล้มลงจนโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม อย่างไรก็ตามแม้จะเหลือ 10 คน แต่ทีมไทยยังตั้งรับอย่างเหนียวแน่นก่อนที่ ปีเตอร์ วิธ จะส่ง ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ลงมาคุมแดนกลางแทน ตะวัน ศรีปาน ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย
ถัดมาอึดใจเดียวในนาที 81 สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ ฉวยโอกาสเปิดฟรีคิกจากเกือบกลางสนาม บอลพุ่งเข้าเขตโทษและเป็น “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่วิ่งสอดขึ้นมาตวัดยิงด้วยซ้ายเสาแรกแบบไม่ต้องจับ บอลเสียบเสาไกลเข้าประตูให้ไทยสร้างเซอร์ไพรส์ขึ้นนำก่อน 1-0
หลังจากโดนนำเกาหลีใต้โหมบุกอย่างหนักจนทำให้ไทยปั่นป่วน ก่อนที่นาทีที่ 85 สุรชัย จิระศิริโชติ จะพุ่งเสียบตัดบอลอย่างหนักบริเวณหน้ากรอบเขตโทษจนโดนใบเหลืองที่ 2 ไล่ออกจากสนามไปอีกราย ทำให้ไทยต้องเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 9 คน ก่อนที่จังหวะฟรีคิกต่อเนื่อง ยู ซัง-ชุล กองกลางตัวเก่งจะยิงผ่านมือชัยยง ขำเปี่ยม เป็นประตูตีเสมอได้สำเร็จ 1-1
ช่วงเวลานั้นแฟนบอลบนอัฒจันทร์และกองเชียร์ที่เฝ้าอยู่หน้าจอทีวีต่างใจหล่นหายไปถึงตาตุ่ม และหลังจากตีเสมอได้ยังคงเป็นทัพโสมขาวที่บุกกระหน่ำต่อเนื่องแต่ไทยยังสามารถต้านไว้ได้จนจบ 90 นาที สกอร์เสมอกัน 1-1 ต้องสู้กันต่อในช่วงทดเวลาพิเศษเพื่อลุ้น “โกลเดนโกล” หรือใครยิงเข้าก่อนชนะเลย ไปจนถึงการดวลจุดโทษ
ผู้เล่นเป็นรองน้อยกว่าถึง 2 คน ในเกมที่พบกับยอดทีมที่เคยไปเล่นฟุตบอลโลกมาแล้ว แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นชาติที่มีความฟิตอันดับต้น ๆ ของทวีป มองมุมไหนก็ไร้วี่แววที่จะชนะได้ในช่วงเวลาที่เหลือ…
แม้จะเป็นรองทุกประตูแต่เสียงเชียร์ของแฟนบอลกว่า 6 หมื่นคนในสนามราชมังคลากีฬาสถานยังดังกึกก้อง วินาทีนั้นไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ นักเตะที่เขารักสามารถต่อกรกับบิ๊กทีมของเอเชียได้อย่างสูสี
หลังจากที่ ปีเตอร์ วิธ ติวเข้มลูกทีมเสร็จสรรพบริเวณข้างสนาม ขุนพลทีมชาติไทยทั้ง 9 คนก็พร้อมประจำตำแหน่งแดดเริ่มร่ม ลมเริ่มตก เกาหลีใต้เป็นฝ่ายเขี่ยบอลเริ่มและพับสนามขึงกดดันอยู่ฝ่ายเดียวเกือบ 5 นาทีเต็ม กระทั่งทีมชาติไทยตัดบอลได้แล้วสามารถพาบอลเลยครึ่งสนามมาได้เป็นครั้งแรกของช่วงต่อเวลา
เสนาะ โล่งสว่าง พยายามพาบอลตะลุยแหวกคู่แข่งก่อนโดนดึงเสื้อ ผู้ตัดสินเป่าฟาวล์ให้เป็นฟรีคิกบริเวณเกือบสุดริมเส้นฝั่งซ้ายห่างจากปากประตูกว่า 30 หลา ดุสิต เฉลิมแสน และ ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ยืนอยู่ที่บอลด้วยกันทั้งคู่
ทุกสายตาของแฟนบอลจับจ้องไปที่ทั้งสองคน พลางคิดตามไปด้วยว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกับโอกาสแรกของทีมในครั้งนี้ ด้วยระยะทางที่ไกลและมุมที่แคบขนาดนี้จะยิงเข้าประตูในทีเดียวเป็นสิ่งที่ยากมาก จะโยนเข้าไปลุ้นในเขตโทษก็มีเพื่อนร่วมทีมอยู่ในกรอบแค่ 3 คน หรือจะเล่นสั้นเคาะบอลไปมาก็ไม่รู้จะครองบอลได้นานเท่าไหร่เพราะตัวผู้เล่นมีน้อยกว่า
ความคิดยังไม่ทันสะเด็ดน้ำดี ดุสิต ก็แตะบอลให้ ธวัชชัย วิ่งเข้ามาตะบันเต็มข้อด้วยหลังเท้า บอลพุ่งแหวกอากาศผ่านมือของนายด่านดีกรีฟุตบอลโลกเสยใต้คานเข้าไปอย่างไม่มีใครคาดคิด...
วินาทีนั้นโลกแทบจะหยุดหมุน แฟนบอลในสนามต่างกู่ร้องด้วยความสะใจอย่างบ้าคลั่ง นักเตะทุกคนวิ่งโผเข้ากอดกันอย่างลืมเหนื่อย ลูกยิงของธวัชชัยลูกนี้ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดให้เกิดขึ้น ไทย 9 คน ชนะ เกาหลีใต้ 2-1
ภาพรีเพลย์บนหน้าจอทีวีถูกฉายวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่รู้ว่าจะอิ่มเอมไปกับสิ่งไหนมากกว่ากัน การผ่านเข้ารอบตัดเชือกได้อย่างปาฏิหาริย์ การล้มยอดทีมระดับทวีป หรือความสวยงามของลูกยิงไกลอันน่ามหัศจรรย์ที่ไม่มีใครคาดคิด
“ด้วยตัวผู้เล่นที่น้อยกว่าและรูปร่างที่เล็กกว่าถ้าเราโยนเข้าไปค่อนข้างจะทำประตูได้ลำบากแน่นอน แต่ถ้าเรายิงอัดเข้าไปด้วยความแรงเนี่ยมันอาจจะแฉลบหรือทำให้กองหลังสกัดลำบาก เลยเลือกที่จะยิงบอลอัดเข้าไป แล้วเป็นจังหวะที่บอลมันไปในทิศทางที่ดีและเป็นประตู”
“ถือเป็นวินาทีประวัติศาสตร์ ทุกคนวิ่งไปขอบคุณแฟนบอลรอบสนาม แฟนบอลก็ยืนปรบมือโห่ร้องด้วยความดีใจ มันเป็นภาพที่ประทับใจมากในชีวิตที่รับใช้ชาติ” กองกลางทีมชาติไทย ทิ้งท้าย
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วทีมชาติไทยที่ผ่านเข้ารอบไปได้จะต้องจอดป้ายในรอบรองชนะเลิศ ด้วยการแพ้ คูเวต 0-3 และแพ้จีนในรอบชิงเหรียญทองแดงด้วยสกอร์เดียวกันก็ตาม แต่ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ถูกบันทึกไว้เป็นบทหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทยเป็นที่เรียบร้อยกับการคว้าอันดับ 4 เอเชียนเกมส์เป็นสมัยที่ 2 ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดของทีมชาติไทยจวบจบวันนี้
และลูกยิงสะท้านเอเชีย!! ของธวัชชัยลูกนี้ ยังถูกจารึกว่าเป็นลูกยิงในความทรงจำของแฟนบอลไทยไปอีกนานเท่านาน
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.