ก้าวไกล วอน ศาลรธน. ถ้ายุบก้าวไกล ขอตัดสิทธิกก.บห. 5ปี พิธา ปัดดีล พรรคสำรอง
วันที่ 2ส.ค.ที่พรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงสรุปข้อต่อสู้ในเอกสารคำแถลงปิดคดี ที่พรรคก้าวไกลส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนที่จะมีการอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรค วันที่ 7 ส.ค.
นายชัยธวัช กล่าวว่า 9 ข้อต่อสู้ของพรรค มีทั้งในแง่ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ในคดียุบพรรค พรรคก้าวไกลยืนยัน ว่า 1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย 2.การยื่นคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย 3.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่3/2567 ไม่มีผลผูกพันในการพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ 4.นอกจากการเสนอนโยบายแก้ไขกฎหมายประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 แล้ว การกระทำอื่นตามคำร้อง มิได้เป็นการกระทำของพรรคก้าวไกล
5.การกระทำตามที่ กกต.กล่าวหา ไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 6.ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรคก้าวไกล 7.แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบพรรค ก็ไม่มีอำนาจกำหนดระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค 8.การกำหนดระยะเวลาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ของกรรมการบริหารพรรคต้องพอสมควรแก่เหตุ และ 9.การเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ต้องเพิกถอนเฉพาะของกรรมการบริหารพรรค ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
นายชัยธวัช กล่าวว่า กรณีศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่า มีอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ขอยืนยันว่า กฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้ไปเพิ่มขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ นอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ย่อมไม่สามารถที่จะนำคำวินิจฉัยคดี 3/2567 หรือคดียุบพรรคอนาคตใหม่ มาเป็นบรรทัดฐาน หรือเหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องในคดีนี้ได้
การยื่นคำร้องคดีนี้ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการไม่รับฟังคู่ความคดีทุกฝ่าย ถือไม่เป็นผล ขอยืนยันว่า เมื่อพิจารณาในหลักของความเป็นที่สุดของคำพิพากษา ทั้งในแง่มูลเหตุและข้อเท็จจริง ย่อมชัดเจนว่า ไม่อาจการรับฟังข้อเท็จจริงในคดีที่ 3/2567 มาผูกพันในคดีนี้ได้
ส่วนข้ออ้างที่ กกต. กล่าวหาว่า ล้มล้างการปกครอง หรือมีการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองนั้น ถือเป็นข้อกล่าวหาใหม่ที่ศาลไม่เคยวินิจฉัยมาก่อน การนำผลคำวินิจฉัยในคดีก่อนมาปิดปากวินิจฉัยคดีนี้ จะต้องมีมาตรฐานที่เข้มข้นกว่า หรือระดับเดียวกัน ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานพิสูจน์จนสิ้นสงสัย
“พรรคก้าวไกล ขอยืนยันว่า กกต. ไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่า ข้อเท็จจริงตามคดี 3/2567 เป็นข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย ไม่มีเหตุที่จะรับฟังได้เป็นอย่างอื่น และมีผลผูกพันให้ตนเองต้องเสนอต่อศาล โดยที่ไม่จำเป็นต้องแสวงหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องรับฟังผู้ถูกร้องอีกด้วย”นายชัยธวัชกล่าว
หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวอีกว่า สำหรับการกระทำที่นอกเหนือจากการเสนอแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทั้งหมด ไม่ได้เป็นการกระทำของพรรคก้าวไกล เนื่องจากไม่ได้เป็นมติของคณะกรรมการบริหารพรรค กรณีที่มี สส.เป็นนายประกันของผู้ถูกกล่าวหาในคดี 112 หรือการแสดงออกส่วนตัวอื่นๆ ขอยืนยันว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นผู้สั่งการ หรือบงการแต่อย่างใด จึงเป็นเพียงการกล่าวอ้างที่ศาลไม่สามารถรับฟังได้ ไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครอง แต่เป็นการเสนอโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ ในอดีตก็มีการเสนอแก้อยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยนำไปสู่การล้มลางการปกครองแต่อย่างใด
นอกจากนี้ หากพิจารณา คำวินิจฉัย 3/2567 โดยละเอียด เป็นเพียงการสั่งให้เลิกกระทำเท่านั้น มิได้ให้พรรคก้าวไกลยกเลิกนโยบายเสนอแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายหาเสียงแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้กระทำ เนื่องจากหากศาลเห็นเป็นเช่นนั้น ควรที่จะมีการสั่งห้ามไม่ให้มีการนำเสนอนโยบายนี้ด้วยในอนาคต
ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรคก้าวไกล เพราะการยุบพรรค ควรเกิดขึ้นเมื่อไม่มีมาตรการอื่นที่จะยับยั้งการกระทำที่รุนแรงได้อย่างทันท่วงทีแล้วเท่านั้น มิเช่นนั้นจะเป็นการทำลายหลักการระบอบประชาธิปไตย การกระทำของพรรคก้าวไกลไม่ใช่การกระทำที่รุนแรงถึงขนาดที่จะต้องยุบพรรค และไม่มีความจำเป็นที่ศาลจะต้องสั่งยุบพรรคก้าวไกลอีกต่อไป ยิ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มีสถานะยิ่งกว่าวิญญูชน ซึ่งต่างเคยเห็นมาก่อนว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่เป็นการกระทำที่ขัดกับมาตรา 92 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง
"แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบพรรค ไม่มีอำนาจในการกำหนดระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด หากจะมีการกำจัดสิทธิ ต้องเป็นกระทำตามกฏหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญประกอบกับหลักที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวางหลักเอาไว้ จึงไปจำกัดสิทธิ์และตัดสิทธิ์ไม่ได้ เพราะต้องกระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น หากศาลเห็นว่ามีอำนาจกำหนดระยะเวลาเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง แต่การกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ต้องอยู่บนหลักความพอสมควรแก่เหตุ ซึ่งไม่ควรเกิน 5 ปี ไม่ใช่ 10 ปี ตามที่ กกต. ร้องขอ"หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าว
พรรคก้าวไกลมิได้รู้หรือควรรู้ได้ว่า การกระทำในคดีนี้เป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 92 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง เนื่องจากก่อนหน้านี้ กกต. เคยวินิจฉัยยกคำร้องข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกันนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กกต.เองในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐก็ยัง เคยให้ความเห็นว่า ว่าการกระทำนี้ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งย่อมอยู่ในวิสัยที่สามารถเชื่อได้ว่า การกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นตามคำร้องในคดีนี้ ก็ย่อมชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน และการเพิกถอนนั้น ต้องเพิกถอนเฉพาะกรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
ขณะที่นายพิธา กล่าวว่าหลายปีที่ผ่านมา การนำประเด็นความจงรักภักดี เข้ามากล่าวหาโจมตีทางการเมือง นำไปสนับสนุนหรือเกี่ยวพันกับการรัฐประหาร ทั้งการทำรัฐประหารโดยกำลังทหารและกฎหมาย รวมถึงการแสดงความจงรักภักดีอย่างล้นเกินเพื่ออำพรางการแสงหาผลประโยชน์ส่วนตนอย่างฉ้อฉลของคนบางกลุ่ม ประกอบกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางการเมืองของยุคสมัย ได้กระตุ้นให้เกิดปฏิกริยาการเมือง และความรู้สึกนึกคิดแบบใหม่ซึ่งสังคมไทยในอดีตอาจไม่คุ้นเคย แทนที่ผู้มีอำนาจจะตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีต พยายามแสดงหากุศโลบายด้วยสติปัญญา เพื่อคลี่คลายแรงตึงเครียดและสร้างฉันทามติใหม่ให้สอดคล้องกับยุคสมัย กลุ่มที่จะใช้อำนาจกดประชาชนมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการบังคับใช้ กฎหมาย ม.112 อย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
จากสถานการณ์ดังกล่าว สส.พรรคก้าวไกลจึงเห็นความจำเป็นที่จะเสนอให้ปรับปรุงแก้ไข ม.112 ด้วยมีเจตนาที่จะฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขจะดำรงอยู่อย่างมั่นคงได้ มิใช่การบ่อนทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และหลักคุณค่าพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย
เมื่อถามถึงการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม นายพิธากล่าวว่า ไม่ขอก้าวล่วงประเมินไปข้างหน้า มั่นใจในข้อเท็จจริง ในเรื่องของข้อกฎหมายที่อธิบายไปแล้ว เชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะได้รับความยุติธรรม ไม่กังวลตามเหตุการณ์ทางการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นในเดือนนี้ คิดว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะตัดสินตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง
ถามว่าพรรคก้าวไกลเป็นห่วงในเรื่องกระแสการลุกฮือและการเคลื่อนไหวของประชาชนในวันตัดสินคดียุบพรรคหรือไม่ นายพิธากล่าวว่าไม่สามารถคาดเดาแทนพี่น้องประชาชนได้ หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี แน่นอนว่าการเข้าถึงสิทธิพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมเป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนสามารถทำได้ ในระบอบประชาธิปไตยที่ไร้ความรุนแรง แต่พรรคก้าวไกลจะไม่ได้เป็นส่วนร่วมในการมีเจตนาจะสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคแน่นอน
ถามว่ากิจกรรมในวันที่ 7 ส.ค. มีการให้ประชาชนเข้ามาร่วมด้วย จะถูกมองว่าเป็นการปลุกมวลชนหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่หรอกครับ อย่างที่บอกว่าพรรคก้าวไกลเป็นสถาบันในทางการเมือง และมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสมาชิก เจ้าหน้าที่พรรค หรืออาสาสมัครของพรรค เขาก็มีสิทธิที่จะได้ร่วมรับฟังความวินิจฉัยด้วยกันซึ่งก็จะอยู่ที่พรรค ช่วงเช้าตนก็จะเข้าสภาไปทำหน้าที่ของตัวเอง
เมื่อถามว่าถึงแม้ว่าจะมีการประเมินว่าจะไม่ถูกยุบ แต่มีรายงานข่าวว่าพรรคก้าวไกลมีการไปดีลพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดถึงตรงนั้น ตอนนี้ยังขอโฟกัสในเรื่องของการสู้คดีในการยุบพรรค เมื่อถึงเวลานั้นก็คงต้องพูดคุยกัน ณ ตอนนั้นอีกที ตอนนี้ภายในพรรคก็ยังไม่มีมติ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น และหากคำตัดสินไม่เป็นคุณ ตนก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคใหม่แล้ว เข้าใจว่าพรรคการเมืองทั่วไป มันก็มีกฎเกณฑ์ในการที่จะต้องเรียกประชุมพรรค เรียกประชุม สส. ในการเลือกต่างๆ นานา ซึ่งตนก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และคงตอบแทนไม่ได้ ยังเชื่อว่าวันพฤหัสที่ 8 ส.ค.ก็ยังคงเข้าสภา และทำหน้าที่กับผู้นำฝ่ายค้านเหมือนเดิม ตอนนี้ก็คงจะเป็นโฟกัสของเรา ณ ปัจจุบัน
เมื่อถามว่าวันนี้ สส.ของพรรคก้าวไกลยังคงรักษาความเป็นปึกแผ่นเหมือนเดิมหรือไม่ หรือว่าเริ่มมีการแตกออกไปบ้างแล้วตามกระแสข่าว นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีตามกระแสข่าว ยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และเท่าที่ดูในห้องแชตก็ยังพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของกฎหมายต่างๆ ที่จะเข้าวาระ รวมถึงการทำหน้าที่กรรมาธิการงบประมาณตรวจสอบรัฐบาลอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรต้องห่วง
เมื่อถามต่อว่ายังไม่มีใครจะไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ ใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีครับ
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.