'แชตจีพีที' กับการศึกษา นักเรียนจะได้ประโยชน์หรือไม่?

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ChatGPT ซึ่งเป็นแชทบอตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ของผู้คน ตลอดจนการใช้ในทางที่ผิด ๆ และในขณะที่นักการศึกษาบางคนพยายามไม่ให้มีการใช้ AI ในชั้นเรียน แต่บางคนก็สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีนี้ในการเรียนการสอน

เมื่อ ChatGPT ซึ่งเป็นแชทบอตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่พัฒนาโดย OpenAI ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 โรงเรียนและมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ บางแห่งเลือกที่จะบล็อกแอปฯ ดังกล่าวบนอุปกรณ์ดิจิทัลของโรงเรียน เช่น แท็บเล็ตและแล็ปท็อป เพื่อป้องกันการคดโกงต่าง ๆ

แต่โรงเรียนในเขตการศึกษาอิสระของนครดัลลัส หรือ Dallas ISD (Dallas Independent School District) กลับเปิดรับเทคโนโลยีใหม่นี้

Dallas ISD เชื่อว่า การเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีความรับผิดชอบและมีจริยธรรมนั้น จะช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าใจถึงความสำคัญของการสร้างเนื้อหาต้นฉบับ และการอ้างอิงแหล่งที่มาเพื่อหลีกเลี่ยงการลอกเลียนได้

อาจารย์บางคนเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่มีประโยชน์ใด ๆ ที่จะไปต่อสู้กับเทคโนโลยีใหม่นี้ อย่างเช่น บีทตา โจนส์ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส คริสเตียน (Texas Christian University) ซึ่งกำลังสอนให้นักเรียนของเธอมองว่า ChatGPT เป็นเทคโนโลยีที่ชาญฉลาดที่สามารถช่วยในเรื่องการเรียนได้ แต่ไม่มีความน่าเชื่อถือ

โจนส์ กล่าวว่า “นักเรียนสามารถคิดค้นและแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ เพราะพวกเขามี AI คอยช่วย ทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลอันกว้างใหญ่ได้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้เสียก่อนเพื่อยืนยันความถูกต้อง ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ใช้ความคิดในเชิงวิเคราะห์อีกด้วย”

อย่างไรก็ตาม การพยายามตรวจสอบว่านักเรียนใช้ ChatGPT ในการช่วยทำการบ้านหรือไม่นั้นยังคงเป็นปัญหาอยู่ บรรดาบริษัทต่าง ๆ ที่พัฒนาซอฟต์แวร์ตรวจจับการคัดลอกผลงานของ AI เช่น เทิร์นอิทอิน (Turnitin) กล่าวว่า เมื่อพวกเขาสามารถตรวจจับกลโกงได้ดีขึ้น กลุ่มคนที่ใช้วิธีโกงเหล่านั้นก็เก่งขึ้นตามไปด้วย

แอนนี เชชิเทลลี ผู้บริหารของ Turnitin อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อนักเรียนใช้ ChatGPT ในการทำงานแล้วก็อาจใช้ระบบอื่นในการตรวจสอบซ้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อมูล เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงการตรวจจับกลโกง

ในขณะที่โจนส์กล่าวว่า มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ล้วนมีความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า False Positive หรือผลการตรวจจับที่ระบุว่ามีการกระทำผิดแต่ความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น เช่น ผลตรวจสอบอาจชี้ว่านักศึกษาใช้ AI ทำงาน ทั้งที่จริง ๆ แล้วพวกเขาอาจทำงานด้วยตัวเอง

โจนส์ กล่าวต่อไปว่า “เราไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่านักเรียนโกงหรือไม่ บรรดาเทคโนโลยีตรวจจับ AI ที่ว่าดีที่สุดทั้งหลายล้วนกล่าวอ้างว่าตนมีความแม่นยำและเชื่อถือได้ 99.6% แต่ก็ไม่เคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับ False Positive และนั่นก็อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษาและคณาจารย์แย่ลง ตลอดจนทำให้ชื่อเสียงของนักเรียนที่ดีเหล่านั้น แย่ลงไปด้วย”

แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือ AI จะไม่หายไปไหน และตัวมนุษย์เองก็กำลังล้าหลังลงไป

ทั้งนี้ การสำรวจของ UNESCO ที่มีขึ้นในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย 450 แห่งพบว่า มีเพียง 10% เท่านั้นที่ได้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ในสถาบันของตน

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.