เปิดตัว "iPad Air" รุ่นที่ 6 มา 2 ขนาด ย้ายกล้องเป็นแนวนอน ขุมพลัง M2 คุ้มค่าสุด เริ่มต้น 23,900 บาท

จบกันไปแล้วสำหรับงานเปิดตัว Apple Event ครั้งล่าสุดรอบนี้เรามาดูกันว่าอะไรเปิดตัวกันบ้าง แต่ขอเริ่มกับ iPad Air รุ่นใหม่ ถือว่าเป็น Generation ที่ 6 กับการเปลี่ยนแปลงที่มีความน่าสนใจเริ่มจาก

“ผู้ใช้จำนวนมาก ตั้งแต่นักศึกษา คอนเทนต์ครีเอเตอร์ เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก และอีกมากมายต่างชื่นชอบ iPad Air ในด้านของประสิทธิภาพ ความสะดวกในการพกพา และความอเนกประสงค์ ทั้งหมดนี้ในราคาที่เอื้อมถึงได้ และวันนี้ iPad Air ยังยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก” Bob Borchers รองประธานฝ่าย Product Marketing ของ Apple กล่าว “เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เปิดตัว iPad Air รุ่น 11 นิ้ว ที่ออกแบบใหม่ และรุ่น 13 นิ้ว แบบใหม่หมด ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีให้เลือกในสองขนาด การผสมผสานระหว่างจอภาพ Liquid Retina ที่สวยสดงดงาม ประสิทธิภาพระดับปรากฏการณ์ของชิป M2, ความสามารถด้าน AI ที่น่าทึ่ง และดีไซน์สีสันสดใสที่พกพาสะดวกพร้อมการรองรับอุปกรณ์เสริมใหม่ๆ ทำให้ iPad Air ทั้งทรงพลังและอเนกประสงค์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ”

iPad Air มี 2 ขนาด

iPad Air รุ่น 11 นิ้ว ที่ออกแบบใหม่นั้นพกพาสะดวกสุดๆ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำงานให้เสร็จในระหว่างเดินทาง ส่วนผู้ใช้ที่ต้องการจอภาพที่ใหญ่ขึ้นก็สามารถเลือก iPad Air รุ่น 13 นิ้วใหม่ ซึ่งมีพื้นที่หน้าจอมากกว่ารุ่น 11 นิ้ว ถึง 30% จอภาพอันกว้างขวางทำให้ผู้ใช้มีพื้นที่มากกว่าเดิมในการจดบันทึกไอเดียลงในแอปอย่าง Freeform หรือดูหลายแอปพร้อมกันโดยใช้ Split View ใน iPadOS ทั้งสองรุ่นมาพร้อมจอภาพสุดล้ำในดีไซน์ Liquid Retina, การเคลือบหน้าจอป้องกันแสงสะท้อน, เทคโนโลยี True Tone, ความสว่างสูง และรองรับขอบเขตสีกว้างแบบ P3 คอนเทนต์ต่างๆ จึงสวยสดงดงามและเต็มอิ่มอย่างน่าทึ่ง ขณะที่ข้อความก็ดูคมชัดในทุกสภาพแสง

กล้องหน้าในแนวนอนแล้วจ้า

ในที่สุดสาวกที่บ่นเรื่องกล้องหน้าของ iPad Air มายาวนานก็สิ้นสุดการบ่น เพราะรอบนี้กล้องหน้าอัลตร้าไวด์ 12MP บน iPad Air ที่ออกแบบใหม่ได้ย้ายมาอยู่บนขอบแนวนอน โดยมาพร้อมคุณสมบัติจัดให้อยู่ตรงกลาง ซึ่งใช้การเรียนรู้ของระบบ (ML) เพื่อปรับให้ทุกคนอยู่ในเฟรมโดยอัตโนมัติ ต้องบอกเลยว่าตำแหน่งกล้องใหม่นี้ยอดเยี่ยมมาก เพราะอยู่ในแนวที่ผู้ใช้ iPad Air ใช้งานบ่อยที่สุด ไม่ว่าจะพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวผ่าน FaceTime หรือเข้าร่วมการประชุมผ่านวิดีโอในขณะที่ใช้งานคีย์บอร์ดบน iPad Air ไปด้วย ขณะที่กล้องหลังไวด์ 12MP บน iPad Air นั้นสามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงและวิดีโอระดับ 4K ที่มีรายละเอียดครบครันพร้อมการรองรับสโลว์โมชั่น ที่ 240 fps ไมโครโฟนคู่ได้รับการออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับกล้องอย่างลงตัว โดยสามารถบันทึกเสียงจากกล้องที่ใช้งานอยู่ และลดเสียงรบกวนรอบข้างให้เหลือน้อยที่สุด iPad Air ใหม่ยังมีลำโพงสเตอริโอในแนวนอนพร้อมระบบเสียงตามตำแหน่งอีกด้วย โดยรุ่น 13 นิ้วจะให้คุณภาพเสียงที่ดียิ่งขึ้นพร้อมเบสที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งเหมาะกับการฟังเพลงและดูวิดีโออย่างเพลิดเพลิน

ประสิทธิภาพที่จัดเต็มยิ่งกว่าเดิมด้วยชิป M2

ชิป M2 ยกระดับประสิทธิภาพของ iPad Air แบบครั้งใหญ่ด้วย CPU แบบ 8-core และ GPU แบบ 10-core ที่เร็วยิ่งขึ้น ชิป M2 เป็นชิปอันทรงพลังที่ได้รับการปรับปรุงให้เหนือกว่าชิป M1 ในหลายๆ ด้าน จึงเรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดดสำหรับผู้ที่อัปเกรดจาก iPad Air รุ่นก่อนหน้า และเมื่อรวมกับแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่เร็วขึ้นด้วยแล้ว iPad Air ใหม่จึงเร็วกว่า iPad Air รุ่นก่อนหน้าที่มีชิป M1 เกือบ 50% สำหรับงานและการสร้างสรรค์ทุกประเภท1 และเมื่อเปรียบเทียบกับ iPad Air ที่ใช้ชิป A14 Bionic จะพบว่า iPad Air ใหม่มีประสิทธิภาพเร็วขึ้นสูงสุด 3 เท่า โดยผู้ใช้จะสัมผัสได้ถึงความเร็วของชิป M2 ในทุกๆ สิ่งที่พวกเขาทำ ตั้งแต่การสร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดใจได้รวดเร็วกว่าที่เคยใน Affinity Designer ไปจนถึงการเล่นเกมที่เน้นกราฟิกหนักๆ อย่าง Zenless Zone Zero

อุปกรณ์ที่ทรงพลังสำหรับ AI

ชิป M2 ทำให้ iPad Air ใหม่เป็นอุปกรณ์ที่น่าทึ่งสำหรับ AI เพราะมาพร้อม Neural Engine แบบ 16-core ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเร็วกว่าชิป M1 ถึง 40% ยิ่งเมื่อผนึกกำลังกับตัวเร่งความเร็ว ML ใน CPU และ GPU ที่ทรงพลังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของระบบบนอุปกรณ์ ควบคู่ไปกับสถาปัตยกรรมหน่วยความจำแบบรวมของ Apple Silicon ด้วยแล้ว iPad Air จึงมอบประสิทธิภาพด้าน AI ได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งการใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพนี้นี่แหละที่ทำให้ผู้ใช้ได้เพลิดเพลินกับคุณสมบัติอันชาญฉลาดของ iPadOS เช่น ค้นดูจากภาพ ดึงตัวแบบออกจากพื้นหลัง และข้อความในภาพ iPadOS ยังมีเฟรมเวิร์กขั้นสูง เช่น Core ML ที่ช่วยให้นักพัฒนาใช้ประโยชน์จาก Neural Engine เพื่อส่งมอบคุณสมบัติด้าน AI อันทรงพลังบนอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดาย ระบบนิเวศที่หลากหลายของแอปยังมาพร้อมคุณสมบัติ AI สุดล้ำที่ช่วยให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ เช่น ใช้เครื่องมือการปรับอัตโนมัติใน Photomator เพื่อปรับแต่งภาพถ่ายด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียวโดยใช้โมเดล AI หรือวิเคราะห์ประสิทธิภาพการกีฬาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วย Onform และความสามารถในการติดตามการเคลื่อนไหว ยิ่งไปกว่านั้น iPad Air ยังรองรับโซลูชันแบบคลาวด์ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ใช้งานแอปเพื่อการทำงานและการสร้างสรรค์สุดล้ำที่อาศัยความสามารถของ AI อย่าง Microsoft Copilot สำหรับ Microsoft 365 และ Adobe Firefly ได้

การเชื่อมต่อที่เร็วขึ้นด้วย Wi-Fi 6E และ 5G

การเชื่อมต่อแบบไร้สายที่เร็วขึ้นระหว่างเดินทางช่วยให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นบน iPad Air โดย iPad Air ใหม่รองรับ Wi-Fi 6E ซึ่งมาพร้อมประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นสูงสุด 2 เท่าจากรุ่นก่อนหน้า ผู้ใช้จึงสามารถดาวน์โหลดไฟล์ เล่นเกมออนไลน์ และสตรีมภาพยนตร์ได้ ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular ที่มี 5G ก็ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงไฟล์ ติดต่อกับเพื่อนร่วมงาน และสำรองข้อมูลได้ในพริบตาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และ iPad Air ใหม่ในรุ่นเซลลูลาร์ยังเปิดใช้งานด้วย eSIM ซึ่งเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าซิมการ์ดจริง ผู้ใช้จึงสามารถเชื่อมต่อและถ่ายโอนแผนบริการที่มีอยู่แบบดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว และจัดเก็บแผนบริการเซลลูลาร์หลายแผนไว้ในอุปกรณ์เครื่องเดียวได้ ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อกับแผนข้อมูลไร้สายบน iPad Air ใหม่ได้อย่างง่ายดายในกว่า 190 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก โดยไม่ต้องขอรับซิมการ์ดจริงจากผู้ให้บริการในพื้นที่

รองรับ Apple Pencil Pro ด้วย

Apple Pencil Pro มาพร้อมความสามารถที่มหัศจรรย์มากยิ่งขึ้นและการโต้ตอบใหม่ๆ อันทรงพลังที่จะยกระดับประสบการณ์ Apple Pencil ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เซ็นเซอร์ใหม่ที่อยู่ในด้ามสามารถรับรู้เมื่อผู้ใช้บีบ และจะแสดงชุดเครื่องมือเพื่อให้ผู้ใช้สลับเครื่องมือ น้ำหนักเส้น และสีได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้โดยไม่รบกวนกระบวนการสร้างสรรค์ ส่วนเอนจิ้นแบบสั่นที่ออกแบบมาโดยเฉพาะจะสั่นเบาๆ เพื่อยืนยันเมื่อผู้ใช้บีบ แตะสองครั้ง หรือคลิกไปที่ Smart Shape เพื่อประสบการณ์การใช้งานที่เป็นธรรมชาติอย่างน่าทึ่ง นอกจากนี้ยังมีไจโรสโคปที่ให้ผู้ใช้หมุน Apple Pencil Pro เพื่อควบคุมเครื่องมือที่ใช้อยู่ได้อย่างแม่นยำ เพียงแค่หมุนด้ามก็สามารถเปลี่ยนแนวของเครื่องมือประเภทปากกาและแปรงรูปทรงต่างๆ ได้เช่นเดียวกับการใช้ปากกาและกระดาษจริงๆ และยังสามารถใช้การยกปลาย

รองรับการทำงานกับ iPadOS เต็มสูบ เพราะมีฟีเจอร์ครบครันตั้งแต่

  • ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าจอล็อคให้เป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากจอภาพขนาด 11 นิ้ว หรือขนาด 13 นิ้วใหม่ที่ใหญ่ขึ้นบน iPad Air ไม่ว่าจะเป็นวอลเปเปอร์อันน่าทึ่ง วิธีสนุกๆ ในการแสดงภาพถ่ายที่ผู้ใช้ชื่นชอบ ตลอดจนฟอนต์และสีสันสื่ออารมณ์ เพื่อปรับแต่งรูปลักษณ์ของวันที่และเวลาในแบบที่ต้องการ
  • วิดเจ็ตแบบอินเทอร์แอ็คทีฟช่วยให้ผู้ใช้ทำอะไรกับข้อมูลได้มากกว่าแค่เหลือบมองด้วยการแตะเพียงหนึ่งครั้งเพื่อทำสิ่งที่ต้องการให้เสร็จได้ทันที
  • แอปข้อความมาพร้อมวิธีสนุกๆ ในการแสดงความเป็นตัวเอง รวมถึงประสบการณ์การใช้สติกเกอร์ด้วยสติกเกอร์อิโมจิ และความสามารถในการสร้าง Live Sticker โดยการดึงตัวแบบออกจากภาพถ่าย
  • ผู้ใช้สามารถฝากข้อความเสียงหรือวิดีโอเมื่อไม่มีคนรับสายใน FaceTime และยังใช้ประโยชน์จากกล้องและไมโครโฟนบน iPad Air ด้วยคุณสมบัติความต่อเนื่องของกล้องที่ให้ผู้ใช้เริ่มโทรวิดีโอคอลบน Apple TV ได้โดยตรง หรือเริ่มโทรบน iPad แล้วไปคุยต่อบน Apple TV
  • Freeform มาพร้อมเครื่องมือวาดภาพใหม่ๆ การรองรับคุณสมบัติการยกปลาย การเอียง และการปรับให้พอดีตามรูปร่าง ตลอดจนความสามารถในการเพิ่มเส้นเชื่อมต่อและรูปร่างใหม่ลงในวัตถุใดก็ได้ และคุณสมบัติติดตามไปด้วยที่จะช่วยแนะนำผู้ใช้ในการทำงานร่วมกันบนบอร์ด
  • แอปโน้ตช่วยให้ผู้ใช้มีวิธีใหม่ๆ ในการจัดระเบียบ อ่าน ใส่คำอธิบายประกอบ และทำงานร่วมกันบน PDF แถมยังช่วยให้การทำงานบน PDF ง่ายดายขึ้นด้วยคุณสมบัติการป้อนอัตโนมัติที่สามารถระบุช่องและกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มได้อย่างชาญฉลาด
  • คุณสมบัติตัวจัดการให้อยู่ตรงกลางช่วยให้ผู้ใช้ทำงานบนหน้าต่างหลายบานที่ทับซ้อนกันได้ในมุมมองเดียว ปรับขนาดหน้าต่าง แตะเพื่อสลับระหว่างแอป และอื่นๆ อีกมากมาย
  • นอกเหนือจากคุณสมบัติค้นดูจากภาพ ดึงตัวแบบออกจากพื้นหลัง และข้อความในภาพแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถด้าน AI เช่น คำบรรยายสดสำหรับคำบรรยายเสียงแบบเรียลไทม์ และคุณสมบัติการช่วยการเข้าถึงอันชาญฉลาด เช่น เสียงส่วนตัว

ราคาเปิดตัว

  • iPad Air รุ่น 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว ใหม่ จะมีให้เลือกในสีฟ้า สีม่วง สีสตาร์ไลท์ และสีเทาสเปซเกรย์ในรุ่นความจุ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB
  • iPad Air ขนาด 11 นิ้ว
    • 128GB Wi-Fi = 23,900 บาท
    • 256GB Wi-Fi = 27,900 บาท
    • 512GB Wi-Fi = 35,900 บาท
    • 1TB Wi-Fi = 43,900 บาท
    • 128GB Wi-Fi Cellular = 29,900 บาท
    • 256GB Wi-Fi Cellular = 33,900 บาท
    • 512GB Wi-Fi Cellular = 41,900 บาท
    • 1TB Wi-Fi Cellular = 49,900 บาท
  • iPad Air ขนาด 13 นิ้ว
    • 128GB Wi-Fi = 29,900 บาท
    • 256GB Wi-Fi = 33,900 บาท
    • 512GB Wi-Fi = 41,900 บาท
    • 1TB Wi-Fi = 49,900 บาท
    • 128GB Wi-Fi Cellular = 35,900 บาท
    • 256GB Wi-Fi Cellular = 39,900 บาท
    • 512GB Wi-Fi Cellular = 47,900 บาท
    • 1TB Wi-Fi Cellular = 55,900 บาท
  • ราคาส่งเสริมการศึกษาสำหรับ iPad Air รุ่น 11 นิ้วใหม่อยู่ที่ 21,900 บาท และสำหรับ iPad Air รุ่น 13 นิ้ว อยู่ที่ 28,000 บาท ราคาส่งเสริมการศึกษาสามารถใช้ได้กับนักศึกษาที่กำลังศึกษาหรือเพิ่งเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและผู้ปกครอง รวมถึงอาจารย์ เจ้าหน้าที่ และผู้สอนแบบโฮมสคูลในทุกระดับ
  • Apple Pencil Pro สามารถใช้งานร่วมกับ iPad Air ใหม่ได้ โดยมีจำหน่ายในราคา 4,990 บาท และในราคาส่งเสริมการศึกษาที่ 4,600 บาท Apple Pencil (USB-C) มีจำหน่ายในราคา 3,190 บาท และในราคาส่งเสริมการศึกษาที่ 2,790 บาท
  • Magic Keyboard ซึ่งมีให้เลือกในสีดำและสีขาวสามารถใช้งานร่วมกับ iPad Air รุ่น 11 นิ้ว และ 13 นิ้วได้ โดยมีจำหน่ายในราคา 11,990 บาท สำหรับ iPad Air รุ่น 11 นิ้วใหม่ และ 13,990 บาท สำหรับ iPad Air รุ่น 13 นิ้วใหม่ และมีเลย์เอาท์ให้เลือกมากกว่า 30 ภาษา ราคาส่งเสริมการศึกษาสำหรับ Magic Keyboard รุ่น 11 นิ้วอยู่ที่ 11,200 บาท และสำหรับ Magic Keyboard รุ่น 13 นิ้วอยู่ที่ 13,200 บาท

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.