[รีวิว] ZTE Blade A34 มือถือเริ่มต้นแค่ 2,299 บาท กับฟีเจอร์ครบครัน
กลับมาพบกับรีวิวจากทีม Sanook Hitech อีกครั้งในรอบนี้ทีมได้รับมือถือจาก ZTE มาถึง 2 รุ่นด้วยกันในรอบนี้ จะมาเริ่มกับน้องเล็กก่อนอย่าง ZTE Blade A34 พร้อมแล้วเรามาดูกันเลย
รายละเอียดสเปกของ ZTE Blade A34
- ขนาด: 168.7 x 76.6 x 8.4 มิลลิเมตร
- น้ำหนักตัวเครื่อง: 196 กรัม
- หน้าจอแสดงผล : IPS LCD ขนาดหน้าจอ 6.6 นิ้ว ความละเอียด 1612x720 หรือ HD+ Refresh Rate 60Hz
- มาตรฐานกัน : ไม่ได้ระบุ
- กระจกกันรอย : ไม่ได้ระบุ
- ชิปเซ็ต : Unisoc SC9836A Octa-Core 1.6GHz | GPU : ไม่มีข้อมูล
- RAM : 8 GB (RAM 8GB / VRAM 8GB)
- ROM : 64 GB
- ความจำเสริม : MicroSD
- ระบบปฏิบัติการ: Android 13 + My OS
- WiFi 802.11 B/G/N (Dual Band)
- Bluetooth 5.1
- เครือข่ายมือถือ : 2G/3G/4G
- การบอกพิกัด : GPS, A-GPS
- กล้องหลัง 1 ตัว:
- ตัวแรกเป็นของ ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล AF
- วิดีโอ 1080p@30/fps
- LED Flash
- กล้องหน้าเซลฟี่
- ความละเอียดกล้องหลัก: 2 ล้านพิกเซล
- ถ่ายวิดีโอ 720p@30fps,
- รองรับ: สแกนใบหน้าแบบ 2D
- ชนิดซิมการ์ด : nano SIM สามารถใส่ได้ 2 ช่อง + MicroSD
- ช่องเสียบ : USB-C, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
- แบตเตอรี่ : Li-Po 5000 mAh
- ระบบชาร์จไฟ : แบบ USB-C กำลัง 5W
- สี : ดำ และเขียว
รูปลักษณ์ดีไซน์ของ ZTE Blade A34
เริ่มต้นกับหน้าจอจะมาพร้อมกับขนาด 6.6 นิ้วแบบ IPS LCD ความละเอียด HD+ พร้อมกับ Refresh Rate 60 Hz ถือเป็นมาตรฐาน ให้สีสันคมชัดแต่สู้แสงได้ประมาณหนึ่ง ดังนั้นใครจะใช้งานมือถือรุ่นนี้ส่วนนี้ต้องพิจารณาเยอะๆ ครับ
ส่วนบนจะมีกล้องความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ลำโพงสนทนามาให้
ส่วนล่างเป็นปุมควบคุมที่จริงสามารถเลือกได้ว่าจะใช้เป็นปุ่มหรือ / การสัมผัส
รอบตัวเครื่องออบกแบบเรียบง่ายกับวัสดุโพลีคาร์บอนเนส จะมาพร้อมกับฝั่งซ้ายมือคือช่องใส่ซิมการ์ดรองรับ 2 NanoSIM, 1 MicroSD ไม่เป็น Hybrid Slot
ฝั่งขวาปุ่ม Power พร้อมกับปุ่มปรับระดับเสียง
ส่วนบนไม่มีอะไร
ส่วนล่างมีทั้งช่องเสียบหูฟัง, USB-C ไมโครโฟนและลำโพงตัวเครื่อง ทั้งนี้ตั้งขอสังเกตไว้สักหน่อยว่าลำโพงตัวเครื่องจะมาพร้อมกับเสียงที่ดังแต่ถ้าออกสภาพข้างนอกอาจจะเบาไปหน่อยครับ
พลิกด้านหลังจะมาพร้อมกับการออกแบบที่มีดีไซน์ไม่น้อยเลยครับและมาพร้อมกับกล้องที่อยูด้านบนและมีการออกแบบที่จัดหนักเลยครับ
น้ำหนักการจับถือ
ตัวเครื่องทำได้บางเฉียบทำให้การจะถือมทำได้ง่าย และยังมาพร้อมกับวัสดุด้านหลังที่เป็นแบบด้านช่วยจับถนัดมือมากขึ้น
การแสดงผล / ระบบเสียง
การแสดงผลนั้น ถือเป็นมาตรฐาน ให้สีสันคมชัดแต่สู้แสงได้ประมาณหนึ่ง ดังนั้นใครจะใช้งานมือถือรุ่นนี้ส่วนนี้ต้องพิจารณาเยอะๆ ครับ
สำหรับลำโพงของมือถือรุ่นนี้ ตั้งขอสังเกตไว้สักหน่อยว่าลำโพงตัวเครื่องจะมาพร้อมกับเสียงที่ดังแต่ถ้าออกสภาพข้างนอกอาจจะเบาไปหน่อยครับ
ประสิทธิภาพ / การเชื่อมต่อ
เนื่องจากการทดสอบในเรื่องการทดสอบประสิทธิภาพของมือถือรุ่นนี้ขอเปิดแค่ Geekbench 6 และ 3Dmark เท่านั้นพบว่าการแสดงผลถือว่าพอใช้ได้อยู่นะครับ การเล่นเกมอาจจะไม่แนะนำให้เกมที่กินทรัพยากรมากไปนะครับ
ส่วนการเชื่อมต่อรองรับ 4G, Wi-Fi 2.4GHz, Bluetooth 5.2, GPS, A-GPS ครบครันเลยครับ
ระบบปฏิบัติการ / ฟีเจอร์ภายใน / ระบบความปลอดภัย
ZTE Blade Series ของปี 2023 จะได้ระบบปฏิบัติการ MyOS ครอบบน Android 13 ยกเว้นในรุ่น RAM 2GB ของมือถือ ZTE Blade A34 ที่จะได้ Android Go Edition การทำงานถือว่าแบ่งออกมาทั้ง Quick Setting และการแจ้งเตือนต่างๆ
ฟีเจอร์ภายในอาจจะไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากนักพร้อมกับเครื่องคิดเลข, เครื่องอัดเสียง, และเครื่องมืออื่นๆ อีกมากมายครับ ส่วนระบบความปลอดภัยของมือถือรุ่นนี้จะรองรับแค่สแกนใบหน้าเท่านั้น
เปิดกล้องลองถ่ายภาพ
- การบอกพิกัด : GPS, A-GPS
- กล้องหลัง 1 ตัว:
- ตัวแรกเป็นของ ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล AF
- วิดีโอ 1080p@30/fps
- LED Flash
- กล้องหน้าเซลฟี่
- ความละเอียดกล้องหลัก: 2 ล้านพิกเซล
- ถ่ายวิดีโอ 720p 30fps
ฟีเจอร์การถ่ายภาพ
สำหรับกล้องของ ZTE Blade A34 จะมาพร้อมกับโหมดต่างๆ ทั้ง Photo, Video, Timeslape การถ่ายละลายหลัง และแค่นั้น โดยทั้งหมดสามารถใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง
ผลงานจากกล้อง ZTE Blade A34
แบตเตอรี่ / ระบบชาร์จไฟ
สำหรับแบตเตอรี่ของมือถือรุ่นนี้จะมาพร้อมกับความจุ 5000 mAh ถือว่าใหญ่อยู่แต่เมื่อใช้งานพบว่าจัดหนักอยู่ เพียงแต่ว่าในเรื่องของระบบตัวเครื่องไม่ได้มีอะไรเยอะ ทำให้ใช้งานได้ยาวนานมากพอสมควร โดยทดลองแล้งวใช้งานได้ 3 วัน
ส่วนระบบชาร์จไฟของเครื่องอยู่ได้ที่ 5W เท่านั้นและใช้ USB-C
สรุปหลังจากทดลองใช้ ZTE Blade A34
ต้องบอกก่อนว่ามือถือรุ่นนี้มีราคา 2,299 บาท ถือว่าถูกมากแล้วเมื่อเทียบกับสิ่งที่ให้มา ซึ่ง ZTE Blade A34 เหมาะกับคนที่อยากเปลี่ยนมาใช้มือถือ Smart Phone ครั้งแรกมากกว่า โดยสามารถตอบสนองได้ดีประกันถือยาวนานถึง 18 เดือนเลยครับ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ทั้งหน้าร้านทั่วไปและทางออนไลน์
แต่ว่าถ้าใครหวังเรื่องความแรงรอติดตามกันต่อไปกับ ZTE Blade V50 Design ที่จะพบกันต่อไปในรอบหน้า
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.