จุดต่ำสุด "ลำเพลิน วงศกร" กินข้าวกับผงมาม่า ผลักดันให้เริ่มต้น
ลำเพลิน วงศกร นักร้องหนุ่มค่ายแกรมมี่ โกลด์ เจ้าของเสียงร้องเพลงเคิ่งชาติที่เหลือเพื่อเจ็บ และอิจฉาแฟนเจ้า ในอัลบั้มพิณพ่นไฟ ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว Sanook.com ขอบคุณจุดต่ำสุด มีส่วนสำคัญทำให้พลิกชีวิตมาเป็นนักร้อง จนได้ฉายา "โอปป้าหมอลำ"
นักร้องหนุ่มหน้าใส มีชื่อจริงว่า "วงศกรณ์ โยวะราช" เล่าว่า เดิมที "นักร้องไม่ใช่อาชีพเป้าหมาย"
"อยากรับราชการ" เขาระบุเป้าหมายที่ล็อคไว้ในวัยเด็ก เพราะทางฐานะทางบ้านยากจน เติบโตมากับตายาย ไม่มีพ่อแม่คอยซัพพอร์ต จึงอยากมีหน้าที่การงานที่มั่นคง มีสวัสดิการที่ดี อาทิ เบิกค่ารักษาพยาบาล ญาติพี่น้องยามเจ็บไข้ได้ป่วยได้ เป็นต้น
"อดีตของผม ค่อนข้างจะลำบาก ผมไม่มีพ่อไม่มีแม่อยู่ด้วยกัน อยู่กับตายายมาตั้งแต่เด็ก ท่านก็เลี้ยงมา ทำงานทุกสิ่งทุกอย่าง เกี่ยวข้าว ขุดมัน ตัดอ้อย คิดอยากเป็นข้าราชการ สวัสดิการ อะไรต่างๆ มันดี แต่มันเป็นไม่ได้ เหตุผลเดียวเลย คือ เรียนไม่เก่ง เราก็เลยต้องดิ้นรน เราจะหนีจากจุดๆ นี้ ไปได้ยังไง"
ลำเพลิน เล่าต่อว่า เขาได้เผชิญจุดต่ำสุดของชีวิต ช่วงที่เรียนระดับปริญญาตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ระหว่างเรียนมีค่าใช้จ่ายเกินกำลัง จนไม่เหลือตังค์ซื้อกับข้าว ต้มข้าวใส่ผงมาม่า บรรเทาความหิวอยู่หลายมื้อ
"โมเม้นต์ที่ไม่มีกินสุดๆ น่าจะอยู่ช่วงมหาวิทยาลัย ไปเรียนปุ๊บ ค่าใช้จ่ายมันเยอะมาก มันเหลือข้าวอยู่ติดหม้อ ผมก็เลยต้มกิน แล้วก็ใส่ผงมาม่า มันอดยากที่สุดแล้ว เป็นเด็กก็ยังมี ข้าวเจ้ากับน้ำปลาทิพรส วินาทีนั้นคิดถึงแค่ว่า จะทำยังไงให้ตัวเองรอดพ้น จากความทุกข์ตรงนั้นได้ ก็คือต้องกิน มีเท่าไรก็ต้องกินๆ กินเข้าไป แต่ระหว่างที่กิน มันซึบซับ มันจำ จำว่าวันนี้มันเป็นวันที่เราลำบากมาก เห็นคนที่แบบกินเหลือ กินไม่หมด มันรู้สึกเสียดาย"
นักร้องลูกทุ่ง หมอลำ เล่าต่อว่า สถานการณ์บีบบังคับ ต้องต้มข้าวกินกับผงมาม่า ทำให้เส้นทางนักร้องของเขาเริ่มต้นขึ้น แม้ไม่ประสบความสำเร็จ กับการเวทีประกวดร้องเพลงระดับประเทศ แต่ก็แจ้งเกิดได้กับเพลง "ห่อหมกฮวกไปฝากป้า" ร่วมกับ "เต๊ะ ตระกูลตอ" ขณะสังกัดค่ายสิงห์ มิวสิค สร้างปรากฏการณ์เพลงฮิต ก่อนได้เซ็นสัญญาเป็นนักร้องสังกัด "แกรมมี่ โกลด์" มีซิงเกิล "รำคาญก็บอกกันเด้อ" ได้รับความนิยม แฟนเพลงบอกว่าหน้าคล้ายหนุ่มเกาหลี จึงให้ฉายาว่า "โอปป้าหมอลำ"
"ในการอยากเป็นศิลปิน อยากเป็นนักร้อง ก็ต้องยอมรับว่า อาชีพนี้ถ้ามันดังแล้ว มันก็ทำให้ครอบครัวสบายได้จริง จะเป็นนักร้องให้ได้ อัดคลิป แล้วมันอาจจะเกิดความฟลุ๊คก็ได้ มีผู้หลักผู้ใหญ่ไปเห็นว่า เรามีความสามารถ พอได้เป็นนักร้องอยู่ที่แกรมมี่ ดีใจครับ และก็ภูมิใจกับตัวเอง เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมาย"
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ลำเพลิน บอกด้วยว่า บทเรียนที่ได้จากการกินข้าวต้มใส่ผงมาม่า สำหรับเขาคือ "เงินเป็นสิ่งจำเป็น" สนับสนุนการดำรงชีวิต และเป็นเครื่องมือช่วยทำให้บรรลุเป้าหมาย
"เราทำงานเพื่ออะไร ผมก็ตอบว่าเราทำงานเพื่อเงิน พอหลังจาก เรามีเพลงดังแล้ว เริ่มเห็นเงิน เริ่มได้จับเงินหมื่น ได้จับเงินแสน กลับไปสร้างบ้านอยู่บุรีรัมย์ ให้ยายครับ สร้างบ้านตรงบ้านเกิดผมเลย มันเคยเป็นบ้านไม้เก่าๆ สิ่งที่ตัวเองต้องการตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เงินสำคัญกับชีวิต ระดับหนึ่งเลย ถ้าเราใช้มัน เราก็จะมีความสุข แต่ถ้าวันไหนมันใช้เรา เราจะไม่เหลืออะไรเลย เราจะไม่เหลือแม้กระทั่งพี่น้อง"
อย่างไรก็ดี ลำเพลิน ทิ้งท้ายการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ว่า เขาไม่เคยปฏิเสธว่า เงินมีความสำคัญในชีวิตคนเรา เพราะตื่นเช้ายันเข้านอนมีเรื่องให้ใช้เงินทั้งหมด กินอยู่ใช้จ่ายไม่ขาดมือถ้ามีรายได้มากพอจัดการร่ายจ่าย และเก็บออมไว้ใช้ดูแลตัวเองในภายภาคหน้า แต่ก็ไม่เคยลืมให้ความสำคัญคุณค่าทางจิตใจ
"เป็นสิ่งที่สถาบันครอบครัว ควรปลูกฝังตั้งแต่แรกว่า ให้ความสำคัญกับเงินได้ อันดับหนึ่ง ต้องให้ความสำคัญกับ ความรักของครอบครัว ไม่ว่าจะรวยแค่ไหน มันก็นำพาเราไปเจอกับ แค่คนที่แปลกหน้า สุดท้ายเราก็กลับมาอยู่กับคนที่เรารักจริงๆ และเขาก็รักเราจริง"
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.