"ก๊อต จิรายุ" ออกแบบชีวิตให้เบาสบาย ก้าวสู่ความตายด้วยการสะสมความรัก

"ก๊อต จิรายุ" เผยวิธีออกแบบชีวิตให้เบาสบาย ก้าวสู่ความตายด้วยการสะสมความรัก เชื่อถ้าทำให้จิตคุ้นชินกับความรัก จะเดินทางไปตรงนั้น เหมือนคนเราไม่ว่าถูกปล่อยที่ไหนก็หาทางกลับได้ด้วยความเคยชิน

จิรายุ ตันตระกูล หรือ ก๊อต นักแสดงแถวหน้า และนักเขียนหนังสือประเภทแนะแนวให้ผู้อ่านปฏิบัติตามได้ (How to) ให้สัมภาษณ์กับ Sanook.com เล่าวิธีออกแบบชีวิตให้เบาสบาย จัดการความทุกข์ความกระวนวาย แบบฉบับของเขา ว่า ยิ่งโตยิ่งต้องทำตัวเหมือนเด็ก มองสิ่งต่างๆ ที่เห็น ฟังสิ่งต่างๆ ที่ได้ยิน มิใช่ได้ยินแต่เสียงของตัวเอง

"การที่อยู่กับทุกข์ได้ มันมี 2 อย่าง อยู่แบบทนกับอยู่แบบเข้าใจ ถ้าอยู่แบบทนเหมือนคนที่กำลังรอให้ฝนหยุด แล้วฝนไม่หยุดซะที มันกระวนกระวาย แต่การที่ฝนมันตกแล้วก็นั่งอยู่ดูมันไป มันอยู่แบบไม่กระวนกระวาย"

"ผมเคยกระวนกระวายมาเยอะมาก และผมก็เคยสงบนิ่งแล้วก็เห็นความปั่นป่วน พอชีวิตตัวเองมันเป็นผู้เห็นความปั่นป่วนภายในใจตัวเอง อยู่บ่อยๆ มันวางของมันเองพี่ เมื่อก่อนผมเป็น ลูกแกะ ที่ทำงานตามคนนู้นคนนี้บอก"

"วันหนึ่งเราก็มาตั้งคำถามตัวเอง เฮ้ยทำไมเราถึงไปเชื่อฟังผู้ใหญ่เหล่านั้นวะ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จระดับโลกให้เราเห็นเลย ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนจากลูกแกะเป็นสิงโต ศึกษาเองไม่ฟังใครทั้งสิ้น เป็นคนมุ่งมั่น ออกล่าเหยื่อเหมือนที่สิงโตวิ่งเต็มที่"

"ทุกวันนี้จากสิงโตผมเป็นเด็ก เห็นเด็กในสนามเด็กเล่นไหม เล่นเต็มที่ วิ่งเต็มที่ กระโดดเต็มที่ หัวเราะเต็มที่นะ ร้องไห้มันก็ร้องเต็มที่ เราถูกมองว่า โตแล้วอย่าทำตัวเป็นเด็ก แต่ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นยิ่งโตยิ่งต้องเป็นเด็ก เวลาที่เด็กมองสิ่งต่างๆ เขาเห็น เวลาที่เขาฟังสิ่งต่างๆ เขาได้ยิน แต่ผู้ใหญ่ นั่งคุยกันยังไม่ได้ยินเสียงคนที่คุย ได้ยินเสียงตัวเอง"

นักแสดงชาวไทยเชื้อสายปาทาน บอกอีกว่า เขาเองมีช่วงที่รู้สึกดาวน์ ช่วงสับสน กับชีวิตย้อนแย้ง ส่วนหนึ่งผมต้องทำงานต้อง Take action ส่วนหนึ่งจะดำเนินไปยังไงให้มันไหลลื่น จึงเลือกเลียนแบบน้ำ ที่ถ้ามันวิ่งไปกระทบหิน ก็ไม่ทำลายหินก้อนนั้น พยายามเซาะหาทางไปของมันเอง เข้าใจความแตกต่าง และยอมรับความเปลี่ยนแปลง ที่ต้องเผชิญ

"บางครั้งก็ตกอยู่หลุมอากาศเป็นเดือนเลย ตกอยู่กับภวังค์ของความเครียด ตกอยู่กับภวังค์ของความเห็นของผู้อื่น มันจะมีอัตตามาสู้กัน ตัวกู ของกู มึงเห็นอย่างนั้นกูเห็นอย่างนี้ เราก็ต้องรีบกลับมาที่บ้านเพื่อทบทวนว่า เอ๊ะเขาก็ไม่ผิดนะ เราก็ไม่ได้ผิดนะ"

"ทุกคนใส่แว่นสีมองสถานการณ์ที่เป็นสีปกติ ผมถือลูกบอลสีขาวอยู่ ถ้าพี่ใส่แว่นสีแดง พี่เห็นสีแดง ผมใส่แว่นสีเหลืองผมเห็นสีเหลือง ถ้าผมถอดแว่นออกมาสัก 5 นาทีผมก็จะเข้าใจพี่ และผมก็จะเข้าใจตัวผมเองในอดีต และผมก็จะเข้าใจตัวผมเองตอนนี้ด้วย"

"ความเปลี่นแปลงมันเรื่องธรรมดา ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ ตอนวัยรุ่นมีความต้องการแบบหนึ่ง คิดแบบหนึ่ง ตอน 35 มีความต้องการแบบหนึ่ง คิดแบบหนึ่ง มันเป็นเรื่องของวุฒิภาวะ"

"ถ้ามีคนมาถามผมรู้จักตัวเองไหมตอน 20 ถ้าย้อนกลับไปผมก็ต้องบอก ผมรู้จักตัวเอง แต่ถ้าผมมองวันนี้ย้อนกลับไป ผมไม่รู้จักตัวเอง ผมไม่รู้จักตัวเอง ณ วันนี้ผม 35 อีก 10 ปีข้างหน้า ผมอาจจะมองเห็นไอ้เด็ก 35 ว่าเรื่องตลกก็ได้"

"3 ปีมาเนี่ย ผมเพิ่งมีผมหงอก แล้วก็แบบเหี้ยกูเข้าใจแล้ว ความรู้สึกของการย้อมผมแม่งเป็นไงวะ ใช้คำนี้ว่า อะไรที่ไม่ประสบไม่รู้สึก และอะไรที่ไม่รู้สึกไม่มีทางเข้าใจ"

ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ก๊อต บอกด้วยว่า เขาไม่เอาความสุขไปแขวนไว้กับผู้อื่น เพราะไม่มีใครเข้าใจเราอย่างแท้จริง เลือกที่จะสร้างความสุขด้วยการ "รักตัวเอง" ไม่ต้องไปเร่งตามโน่นตามนี่ตามนั่น เชื่อว่าคนเราถ้ารักตัวเองเป็น จะเห็นความสุขอบ่างแท้จริง

"คือ ถ้ามีกัลยาณมิตรที่ดี เราก็ได้กำลังใจ ถ้าหันไปไม่มีใคร ต้องเติมให้ตัวเองเป็น ไม่มีใครหรอกที่จะเข้าใจเราอย่าแท้จริง ในความต้องการของเรา เราอยากให้คนเข้าใจเรานะ เอาตรงๆ มันจะไปเข้าใจมึงได้ยังไง"

"เพราะว่าแต่ละวัน เราเสพไม่เหมือนกัน เรารับอาหารมาไม่เหมือนกัน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เรารับมาไม่เหมือนกัน พอเรารับมาไม่เหมือนกัน เราก็เลยมีความต้องการไม่เหมือนกัน เราจะให้คนอื่นมาเข้าใจแบบที่เราอยากให้เขาเข้าใจ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็เลยกลับมาที่ว่า เราต้องมีตัวเองเป็นที่พึ่ง ที่จะคอยให้กำลังใจตัวเอง"

"พวกเรามักจะมีมาตรฐาน ในการใช้ชีวิตว่า ควรจะต้องเป็น 1 เป็น 2 เป็น 3 เป็น 4 พอเราไม่เป็น 1 ไม่เป็น 2 ไม่เป็น 3 ไม่เป็น 4 เราไม่รักตัวเอง เราเกลียดตัวเอง หลังๆ ผม ถ้าผมขี้เกียจ ผมก็บอกว่า แม้ผมจะขี้เกียจแต่ผมก็รักตัวผมเอง ในวันที่ขี้เกียจ วันนี้ผมมีวินัย ผมก็รักตัวเองในวันที่มีวินัย วันนี้ผมกล้าหาญ ผมก็รักตัวเองในวันที่ผมมีความกล้าหาญ วันนี้ผมกลัวผมก็รักตัวเองในวันที่กลัว รักตัวเองในยามที่อ่อนแอ"

"ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนเด็กเราก็สับโขกตัวเอง ตำหนิตัวเอง ด่าตัวเอง แต่ลองคิดว่าตัวเองเป็นเด็กเล็กๆ ที่ทำผิดพลาด อยากจะดึงเด็กตัวเล็กๆ คนนั้นมากอด ไม่เป็นไรพรุ่งนี้เอาใหม่ จับมือ ไปสู้ หลังๆ ผมเนี่ยผมทำแบบนั้นบ่อย ผมเลยแบบคอนเน็คกับเด็กในร่างกายผม ในจิตวิญญาณผม ไอ้เด็ก 5 ขวบคนนั้นมันรอการชื่นชมอยู่นะ ไอ้เด็ก 5 ขอบคนนั้นมันรอการให้ความรักอยู่ ฟินเลย"

ท้ายการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ก๊อต บอกว่า ทุกชีวิตก้าวสู่ความตาย เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ เขามองความตายเหมือนเปลี่ยนคลื่นความถี่ไปอีกรูปแบบหนึ่ง และเลือกเตรียมตัวสู่ความตายด้วยการสะสมความรัก ไม่โอบกอดความโกรธ ความเกลียดชัง และความกระวนกระวาย

เพื่อให้จิตคุ้นชินกับความรัก เพื่อจะได้ไปในดินแดนที่มีแต่ความรัก เหมือนธรรมชาติคนเรากลับบ้านได้ ไม่ได้ว่าจะถูกปล่อยตรงไหน ก็หาทางกลับบ้านได้ เพราะความเคยชิน เชื่อว่า ถ้าจิตคุ้นชินกับความรัก วันหนึ่งก็จะไปอยู่ท่ามกลางความรัก

"คำว่า ตาย มันเป็นคำน่ากลัวสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมก็คือเหมือน Transfrom เปลี่ยนรูปแบบ ผมไม่ได้มองความตายเหมือนคนทั่วไป โปรโมชั่น เรียกโปรโมชั่น ไปสู่คลื่นความถี่อีกรูปแบบหนึ่ง

"ทำตัวเองให้เป็นคลื่นความถี่เดียวกับความรัก รักตัวเองได้ไหมในวันที่ล้มเหลว รักตัวเองได้ไหมในวันที่ไม่เอาไหน เมื่อไหร่ทีมันรักตัวเอง ถี่ๆ คลื่นความถี่ที่เราสะสมมาก่อนที่เราจะไป ผมอยากจะไปดินแดนที่มีแต่ความรัก"

"โดยปกติธรรมชาติ เราหาทางกลับบ้านได้ ไม่ว่าจะถูกปล่อยจากตรงไหนใช่ไหม ถามว่าเพราะอะไร เพราะเคยชิน เช่นเดียวกัน ถ้าจิตคุ้นชินกับการอยู่ท่ามกลางความรัก วันหนึ่งจะกลับไปตรงนั้นแหละ"

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.