ใช้รถ EV ครบ 8 ปี แล้วไงต่อ?
คนบ่นไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่เคยบ่น! เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งของหลาย ๆ อย่างนะครับ โดยเฉพาะในยุคโซเชียลมีเดียแบบนี้ เรื่องของ “รถ EV” คือหนึ่งในนั้น ยิ่งเมื่อมีข่าวในเชิงลบออกมาทีไร โลกโซเชียลก็จะกระหน่ำทันที จนทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า หากซื้อรถ EV มาใช้งานครบ 8 ปี เมื่อหมดประกันแบตเตอรี่ แล้วจะอย่างไรต่อ?
บางคนบอกว่าเมื่อใช้รถไฟฟ้าครบ 8-10 ปี หากแบตเตอรี่เสื่อมหรือพัง รถคันนั้นอาจจะไม่ต่างกับเศษเหล็ก หรือต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ราคาไม่ต่างกับการซื้อรถใหม่ได้เกือบ 1 คัน แท้จริงแล้วมันเลวร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ! เอาจริง ๆ คำตอบในอีก 8 ปีข้างหน้า ถ้าพูดตอนนี้คงไม่มีใครรู้แน่นอนครับว่าถึงตอนนั้นสถานการณ์ EV จะเป็นอย่างไร
หลังจากที่ผมมีโอกาสได้ทดลองขับรถ EV แบบใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ยอมรับครับว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันดีมาก ไม่ว่าจะขับทางไกลหรือในเมือง ช่วยประหยัดได้จริง อัตราเร่งก็ดี ต้องยอมรับว่าแม้ EV จะมีคอนเซปต์รักษ์โลก แต่คนที่ซื้อรถไฟฟ้ามาขับ เขามองเรื่องความประหยัดมาเป็นอันดับแรกกันทั้งนั้น ซึ่งมันตอบโจทย์ได้ในทันที
มีพรรคพวกถามผมเข้ามาว่า หากวันนี้ในงบเท่า ๆ กัน ควรจะเลือกซื้อ EV หรือรถเครื่องยนต์สันดาป หรือไฮบริดดี และราคาขายต่อ EV ในอนาคตจะหล่นฮวบจริงหรือไม่ บอกเลยว่ามันคือคำถามที่ตอบยากกกก! เพราะหากจะเปรียบเทียบกันจริง ๆ ระหว่างรถไฟฟ้ากับรถใช้น้ำมันเชื้อเพลิง มันยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอีกมากมายครับ
จากประสบการณ์ที่ได้คุยกับคนที่ซื้อรถไฟฟ้ามาขับ ทุกคนไม่เคยบ่นและไม่เคยคิดถึงเรื่องการขายต่อใน 8-10 ปีข้างหน้า มีแต่บอกว่าคิดว่าจะไม่กลับไปใช้รถน้ำมันอีกแล้ว ส่วนบางคนที่มีทุนทรัพย์เพียงพอก็ซื้อ EV มาขับเพิ่มอีกคันก็มี (อันนี้ก็ไม่ว่ากัน) ในที่นี้ขอพูดถึง EV ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศใช้กันในระดับไม่เกิน 1 ล้านบาทก็แล้วกันนะครับ
รถ EV ระดับไม่เกินล้านที่ทำตลาดในบ้านเราตอนนี้มี ORA Good Cat, MG4, MG ES, MG ZS EV, BYD ATTO3 และ BYD Dolphin ส่วนรถเครื่องยนต์สันดาป จะมีตั้งแต่อีโค คาร์ ไปจนถึงรถซี-เซ็กเมนต์ อย่าง Toyota Altis, Honda Civic และ Mazda 3 รวมถึงรถอเนกประสงค์ก็มีหลายรุ่น อาทิ Corolla Cross, Veloz, CX-30 และ Mitsubishi Xpander
การเปรียบเทียบเรื่องความประหยัดคุ้มค่า โดยมีโจทย์คือซื้อตอนนี้แล้วขายต่อในปีที่ 8 แน่นอนว่าราคาเติมน้ำมันจะแพงกว่าราคาชาร์จไฟราว 5 เท่า ยกตัวอย่าง รถยนต์เครื่องสันดาปที่กินน้ำมันราว 15 กิโลเมตรต่อลิตร จะเสียค่าน้ำมันกิโลเมตรละ 2.60 บาท ส่วน EV ที่ผมได้ทดสอบมา จะเสียค่าชาร์จไฟกิโลเมตรละ 0.50-0.60 บาท
ส่วนราคาขายต่อรถเครื่องยนต์สันดาปค่ายดัง อย่าง Altis และ Civic เชื่อว่าในอีก 8 ปีข้างหน้าราคาก็ยังไม่ตกมาก หากยึดมาตรฐานราคาปัจจุบัน จากป้ายแดง 1 ล้านบาท ราคาขายต่อระดับ 4-5 แสนบาทน่าจะต้องมี ส่วน EV ตอนนี้ยังเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่ และนี่ล่ะครับ ผมบอกว่ายังมีปัจจัยจัยอื่น ๆ ที่จะมีผลต่อราคามือสองในอนาคต
หนึ่งในปัจจัยสำคัญในอีก 8 ปีข้างหน้า คือ การพัฒนาแบตเตอรี่ เมื่อถึงตอนนั้นอาจจะถูกลงมาก็ได้ อย่างแบตเตอรี่ของ BYD ที่เรเว่ ออโตโมทีฟ เปิดเผยออกมาว่ารุ่นสแตนดาร์ดอยู่ที่ 528,730 บาท ในอีก 8 ปีข้างหน้า ราคาจะอยู่ที่เท่าไร ซึ่งคาดว่าราคา EV มือสองจะผันตามราคาแบตเตอรี่ ณ ตอนนั้นแน่นอน
แต่ครับแต่! มาถึงตรงนี้อย่าเข้าใจผิดว่าแบตเตอรี่รถ EV เมื่อหมดประกันมันจะพังแล้วต้องเปลี่ยนใหม่อย่างเดียวนะครับ ในความเป็นจริง แบตเตอรี่ในรถคันนั้นก็ยังสามารถใช้งานต่อไปได้เรื่อย ๆ เพียงแต่ว่าประสิทธิภาพจะลดลง อาทิ จากรถป้ายแดง ชาร์จเต็ม 1 ครั้ง วิ่งได้ 400 km แต่เมื่อประสิทธิภาพของแบตลดลง ก็อาจวิ่งได้ 300-350 km ประมาณนั้นครับ
ฉะนั้น หัวข้อที่ผมพาดหัวไว้ “ใช้รถ EV ครบ 8 ปี แล้วไงต่อ” คำตอบก็คือยังใช้งานต่อไปได้เรื่อย ๆ ครับ ขึ้นอยู่ว่าแบตฯ จะเสื่อมมากหรือน้อยเท่านั้น แต่จะคุ้มกว่ารถสันดาปไหมอยู่ที่การใช้งานครับ ถ้าขับเยอะก็น่าจะคุ้มจนลืมประเด็นขายต่อไปได้เลย ส่วนใครที่ใช้รถสันดาปก็วางใจเรื่องราคาขายต่อได้เลย เพราะถึงวันนั้นสัดส่วนก็ยังมากกว่ารถ EV อยู่ดีครับ
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.