โบรกฯ อัพเป้าราคา TRUE หลังประกาศ Synergy Value จากควบรวม DTAC ที่ 2.5 แสนล้าน

นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า วานนี้ (26 ก.ย.2566) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE จัดงาน Capital Market Day ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัทให้ข้อมูลอย่างเป็นทางการกับตลาดทุน หลังการทำควบรวมกิจการ กับ DTAC สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

1) TRUE ประกาศ Synergy จากการควบรวมที่มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) 2.5 แสนล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่ฝ่ายวิจัยและตลาดคาดที่ 1 แสนล้านบาท และคิดเป็น 99% ของ Market Cap ของ TRUE ดังนั้นหากทำสำเร็จหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

2) ตัวเลข Synergy แบ่งออกเป็น i) การลด CAPEX ที่ซ้ำซ้อนในระยะยาวราว 40-50% ii) การรวมโครงข่ายและคลื่นความถี่เพื่อลดต้นทุนราว 35% และ iii) การลดขนาดองค์กร การลดสาขาที่ซ้ำซ้อน และการต่อรองกับ Suppliers ด้วยต้นทุนที่ดีขึ้น

3) TRUE คาดว่า Synergy จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะเต็มศักยภาพในปี 2569 ที่ระดับ 2.2 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยในช่วงปี 2566-2567 TRUE จำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อรวมโครงข่ายขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน ทำให้ตัวเลข Synergy ยังไม่เร่งตัวขึ้นมากนัก

) การรวมโครงข่ายจะเน้นไปที่การลดจำนวนเสาโทรคมนาคมที่ใช้งานซ้ำซ้อนราว 30% การรวมอุปกรณ์ไว้ที่เสาต้นเดียวกัน ส่วนการทำ Spectrum Management จะเน้นไปที่การรวมคลื่นสั้น เพื่อลดเงินลงทุน CAPEX ในระยะยาวและการนำคลื่นที่ TRUE ประมูลมาเสริมบริการ 5G ให้ดียิ่งขึ้น

5) การลดขนาดองค์กรจะเน้นไปที่การลดพื้นที่เช่าที่ไม่จำเป็นทั้งสำนักงานใหญ่และสาขา และอาจมีการลดพนักงานที่ซ้ำซ้อน การต่อรองราคากับ Suppliers จะได้ประโยชน์จาก Scale ที่ใหญ่ขึ้นของบริษัท

6) ระยะยาว TRUE จะเน้นการหารายได้อื่นๆ เพิ่มเติมจากการสร้างบริการเสริมให้กับฐานลูกค้าในมือกว่า 51 ล้านราย เช่น การขาย Content การหาหมอทางไกลหรือการทำประกันภัยออนไลน์

ทั้งนี้ หากสมมติให้ Synergy เกิดขึ้นได้จริง กำไรส่วนเพิ่ม 2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี จะทำให้ TRUE ที่ปัจจุบันยังขาดทุนจะก้าวขึ้นไปมีกำไรท้าทาย ADVANC ที่ระดับ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ Market Cap ของ TRUE ยังคิดเป็นเพียง 38% ของ ADVANC เท่านั้น สะท้อนโอกาสที่ส่วนต่างจะลดลงในระยะยาว 

อย่างไรก็ดี การสร้าง Synergy ต้องใช้เวลา โดยกรอบ 4 ปี ของบริษัท ที่ 2.2 หมื่นล้านบาทต่อปี สูงกว่าคาดของฝ่ายวิจัยที่ประเมินว่า ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี สะท้อนเป้าหมายของบริษัทมีความท้าทาย

โดยฝ่ายวิจัยคาดว่า Synergy ที่เกิดขึ้นได้เร็ว เช่น การลดจำนวนพนักงาน การแก้ไขสัญญา การบำรุงโครงข่ายการซื้อมือถือร่วมกันเพื่อเพิ่มอัตราการทำกำไร และการลดค่าใช้จ่ายการตลาดที่ซ้ำซ้อน จากนั้นการแก้ไขสัญญาเช่าคลื่นความถี่การเชื่อมโครงข่ายระหว่าง TRUE และ DTAC รวมถึงการเจรจาลดค่าเช่าคลื่นกับ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ต้องอาศัยเวลาในการแก้ไขในช่วง 2-3 ปี เป็นอย่างน้อย

ฝ่ายวิจัยคาดผลประกอบการปี 2566 ขาดทุนที่ 6.7 พันล้านบาท แต่กำไรปกติจะโตเด่นในปี 2567 เป็น 1.5 พันล้านบาท และปี 2568 เป็น 1.3 หมื่นล้านบาท ผลบวกของ Synergy ที่เร่งตัวชัดเจนตั้งแต่ปี 2568 สมมติฐาน Synergy ของฝ่ายวิจัยรวม อยู่ที่1.27 แสนล้านบาท ยังต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัท

ดังนั้น ฝ่ายวิจัยปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 9.70 บาทต่อหุ้น (Sum of the part) คงคำแนะนำ “ซื้อ” TRUE จะเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มสื่อสารในช่วง 1-2 ปีจากนี้ จากความคาดหวัง Synergy แต่การลงทุนเหมาะกับนักลงทุนที่มองระยะยาวเพราะการสร้าง Synergy อย่างมีนัยสำคัญต้องอาศัยระยะเวลา

เช่นเดียวกัน บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุว่า ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” TRUE เนื่องจากคาดว่าขาดทุนจะลดลงในไตรมาส 3-4/2566 ขณะที่ราคาหุ้นถูก (EV/EBITDA ปี 2567 ที่ส่วนลด 9% จากระดับก่อนควบรวมกิจการ) 

โดยในงานCapital Markets Day วานนี้ (26 ก.ย.2566) TRUE ได้ประกาศเป้าหมายหลัก 2 ประการ ได้แก่ 1) NPV มูลค่า2.5 แสนล้านบาท สำหรับ synergy และ 2) การพลิกฟื้นสู่กำไรสุทธิในปี 2568 

ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการมูลค่า synergy ขึ้น 6% เป็น 2.14 แสนล้านบาท จาก 2.01 แสนล้านบาท หลังจากเพิ่มประมาณการกำไรหลักปี 2569-2574 ขึ้น 14-36% และลดงบลงทุนปี 2569-2574 ลง 14-19% ส่งผลให้ราคาเป้าหมายอิงวิธี DCF เพิ่มขึ้นเป็น 8.6 บาท จาก 8.0 บาท

อย่างไรก็ตาม ประมาณการสำหรับปี 2566-2568 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยคาดว่าจะมีผลขาดทุนหลักที่ 6.1 พันล้านบาท ในปี 2566 และ 2.3 พันล้านบาท ในปี 2567 ก่อนที่จะพลิกมีกำไร 283 ล้านบาท ในปี 2568 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าของผู้บริหารที่ตั้งเป้าจะมีกำไรสุทธิในปี 2568