KTAM ชี้ข่าวดีเริ่มชัดหนุนหุ้นไทยฟื้นไข้ เคาะเป้าดัชนีสิ้นปีลุ้น 1,640 จุด

     นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกจากนี้จนถึงสิ้นปี66 ภาพการลงทุนของโลกมีปัจจัยที่สนับสนุน ทั้ง อัตราเงินเฟ้อน่าจะผ่านจุดสูงสุดแต่การลดลงของอัตราเงินเฟ้อเป็นไปอย่างเชื่องช้า

     ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ในระดับสูงอีกระยะหนึ่ง แต่ก็จะไม่ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แต่จะเป็นการเติบโตอย่างช้าๆ (Soft Landing) ก่อนที่ธนาคารกลางจะทำการลดอัตราดอกเบี้ยในประมาณกลางปี67 

     อย่างไรก็ดี ยังคงมีปัจจัยที่ยังมีความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องคือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk) ซึ่งจะนำไปสู่การใช้กำแพงภาษี การย้ายฐานการผลิตเพื่อลดปัญหาอุปทานขาดแคลนจากการกีดกันทางการค้า สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

ดบ.โลกพีคใกล้จบ

     ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่คาดว่าอัตราการเติบโตยังน่าจะอยู่ในระดับต่ำ (Slow Growth) จากปัญหาหนี้ที่สูงขึ้นในแทบทุกประเทศ ภาวะเงินเฟ้อสูงที่เคยกดดันการใช้จ่ายน่าจะค่อยๆคลี่คลายในหลายประเทศ แต่โดยรวมแล้วเงินเฟ้อยังน่าจะสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางต่างๆทำให้ดอกเบี้ยนโยบายที่เร่งตัวก่อนหน้านี้จะสิ้นสุดวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น

     แต่การปรับดอกเบี้ยลงยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน ธนาคารกลางต่างๆน่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายจึงอาจต้องติดตามผลพวงที่จะเกิดขึ้นจากการตรึงดอกเบี้ยในระดับสูงว่าจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจในภาคส่วนใดบ้าง ซึ่งจะมีผลทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง แต่ไม่น่าจะทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรง (Severe Recession)

     อีกทั้ง ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังจะเห็นความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆต่อเนื่อง ทำให้ศักยภาพในการเติบโตระยะยาวด้อยลง แม้ในระยะนี้อาจเป็นตัวเร่งให้มีการลงทุนขยายการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าแต่ก็เป็นผลดีเพียงแค่ระยะสั้นเท่านั้น

ท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจฟื้น

     สำหรับเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งการฟื้นตัวที่สำคัญมาจากภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่อาจจะเดินทางเข้ามาในประเทศมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และต่อเนื่องถึงปีหน้า ส่งผลดีต่อรายได้และการบริโภคในประเทศ 

     ส่วนเงินเฟ้อของประเทศไทยที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทาน (Supply push) แต่ไม่ได้เป็นปัญหายืดเยื้อเหมือนประเทศอื่นๆ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายในประเทศอาจจะไม่ได้สูงนัก คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.50% เพื่อปรับดอกเบี้ยเข้าสู่ระดับสมดุล และไม่ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยกับต่างประเทศสูงจนเกินไปนัก แต่ทว่าในภาพระยะยาว ประเทศไทยยังมีความท้าทายในด้านความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่น หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และประเด็นประชากรสูงวัย

      "ตลาดหุ้นไทยในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา มีความผันผวนและให้ผลตอบแทนที่ติดลบและต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผลตอบแทนดัชนีตลาดหุ้นสำคัญๆ ทั่วโลก เป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้น รวมถึงประมาณการเศรษฐกิจไทยที่เติบโตน้อยกว่าคาดเนื่องจากภาคการผลิตและส่งออกของไทยถูกกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวน้อยกว่าคาด ประกอบกับทิศทางดอกเบี้ยโลกที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาทำให้มีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทย"

ข่าวดีเริ่มชัด

     หากพิจารณาปัจจัยต่างประเทศจะเห็นว่าวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้สิ้นสุด ขณะที่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจหดตัวรุนแรงยังมีโอกาสค่อนข้างน้อย ขณะที่ปัจจัยเชิงบวกภายในประเทศไทยจะเป็นตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวมคาดว่าจะค่อยๆดีขึ้นจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ High season ในไตรมาส 4/66

     รวมถึงภาพการเมืองที่ชัดเจนขึ้นจะทำให้แนวโน้มตลาดหุ้นไทยผันผวนลดลง โดยเฉพาะเมื่อสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ทั้งนี้คาดว่าจะการชุมนุมประท้วงจะไม่รุนแรงเท่าในอดีตที่ผ่านมา และเมื่อมีแนวทางในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนโดยรวมได้ 

     แต่หุ้นไทยยังมีความเสี่ยงบ้างจากผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ผ่านมา ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนและภาระดอกเบี้ยให้ภาคครัวเรือนที่มีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง ประกอบกับแนวโน้มของการเกิดภัยแล้งอาจจะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและการบริโภคได้ด้วย

สิ้นปี 1,640 จุด

     บลจ.กรุงไทย คาดอัตราการเติบโตของกำไรราว 10-12% มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล(Dividend Yield)ที่ 3.2-3.4% เป็นระดับที่ Valuation ไม่แพง ซึ่งปัจจุบัน P/E อยู่ที่ 15-16 เท่า โดยประเมินเป้าดัชนีสิ้นปีนี้ อยู่ที่ 1,640 จุด แม้ระหว่างทางอาจมีแรงขายกดดันทำให้ดัชนีย่อตัวลงมาแถว 1,400 จุด 

     แต่ตลาดหุ้นไทยได้สะท้อนความกลัวและความกังวลของนักลงทุนในประเด็นความเสี่ยงจากการเมือง และการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไปพอประมาณแล้ว 

     ขณะที่สัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับต่ำจากการขายออกมาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และคาดการณ์แนวโน้มค่าเงินบาทที่น่าจะกลับมาแข็งค่าจากปัจจัยเศรษฐกิจที่น่าจะดีขึ้นจึงคาดว่าจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติให้กลับเข้าตลาดตราสารทุนไทยได้

     นางชวินดา กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้จะพิจารณาเลือกสรรหุ้นและอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ , หุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค และภาคบริการภายในประเทศ , หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกประคองตัวได้ (ไม่เป็น Recession รุนแรง) และหุ้นที่ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

     สำหรับการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ มองว่าให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีในปีนี้ จากทั้งเศรษฐกิจที่ไม่ได้เกิดภาวะถดถอยดังที่นักวิเคราะห์กังวลก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจมีความทนทานต่อดอกเบี้ยสูงได้ดีกว่าที่หลายฝ่ายคาด นักวิเคราะห์มีการทยอยปรับประมาณการกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น รวมถึงเงินเฟ้อที่สูงก็ส่งผลดีต่อตัวเลขรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียน กระแสการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็ส่งผลดีต่อกลุ่มเทคโนโลยีค่อนข้างมากด้วยเช่นกัน 

     บลจ.กรุงไทย ประเมินภาพการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้นแต่ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนสูง ดังนั้น การเลือกลงทุน (Selection) จึงมีความสำคัญมากขึ้น โดยจะเป็นลักษณะที่จะเลือกการลงทุนเป็นประเทศๆ จะไม่มีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันทั้งโลก จากการที่ประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราเงินเฟ้อในระดับสูงกว่าในประเทศเกิดใหม่หลายประเทศซึ่งมีอัตราเงินเฟ้อต่ำและสามารถดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำได้ ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในครึ่งหลังของปี โดยหลังจากที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาพอสมควร ทำให้บางตลาดเริ่มมี Valuation ที่ “แพง” นักลงทุนจึงอาจต้องเน้นในกลุ่มประเทศ/อุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการเติบโตที่มีคุณภาพในระยะยาว รวมถึงการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดีและมีอายุเฉลี่ยที่ยาวขึ้น

     ดังนั้น นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้ควรให้ความสนใจที่จะเลือกลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่สูงกว่าตราสารหนี้ เนื่องจากตลาดตราสารหนี้นั้น อัตราดอกเบี้ยอาจจะใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้วและน่าจะมีทิศทางอ่อนตัวลง ซึ่งอาจเหมาะกับการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนสูงไม่ได้ อาทิ นักลงทุนที่สามารถรับความผันผวนได้มากควรลงทุนในหุ้นประมาณ 70% และลงทุนในตราสารหนี้เพียง 30% ในทางกลับกันนักลงทุนที่รับความผันผวนได้ต่ำควรลงทุนในหุ้น 30% และตราสารหนี้ 70% เป็นต้น

เสิร์ฟกองทุนโดนใจ

     อย่างไรก็ดี บริษัทได้พยายามเฟ้นหาโอกาสการลงทุนจากผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน และเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน บริษัทมีแผนจะนำเสนอกองทุนประเภท Structure Product มากขึ้น ซึ่งเป็นการลงทุนที่เน้นความปลอดภัยของเงินลงทุน และอ้างอิงกับผลตอบกับกับดัชนีต่างๆ ตามสภาวะตลาด เพื่อเปิดรับโอกาสที่จะสามารถหาผลตอบแทนได้ทั้งจากในช่วงที่ตลาดปรับขึ้นและปรับลงได้ 

     รวมถึงจะทยอยเปิดกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) เป็นทางเลือกที่หลายหลายให้นักลงทุนยิ่งขึ้น โดยจะเน้นรายประเทศ หรือกลุ่มประเทศที่น่าสนใจ และมีโอกาสสร้างการเติบโตในระยะยาว โดยบริษัทยังคงยึดหลักการบริหารจัดการอย่างรอบคอบระมัดระวัง ภายใต้กระบวนการการกำกับดูแลที่ดีโดยคำนึงถึงประโยชน์ของนักลงทุนเป็นสำคัญอยู่เสมอ

     "เราผลักดันให้นำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนและการบริการให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade ล่าสุดเพิ่มบริการหักเงินค่าซื้อกองทุนเพื่ออำนวยความสะดวกนักลงทุนที่ใช้บริการธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมทั้งส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเพิ่มประสิทธิภาพและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น อีกทั้งส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ปัจจุบันมีนักลงทุนที่ใช้บริการผ่าน KTAM Smart Trade แล้วกว่า 44,000 บัญชี"  

     บลจ.กรุงไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด (AUM) ภายใต้การจัดการของบริษัทอยู่ที่ 789,261 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนตลาดที่ 9.2% เติบโต 3.3% YoY แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจกองทุนรวม (Mutual Fund) อยู่ที่ 571,197 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนตลาดที่ 11.5% เติบโต  1.6 % YoY, กลุ่มธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) อยู่ที่ 59,715 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนตลาดที่ 2.7% เติบโต 32.1% YoY และกลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) อยู่ที่ 158,349 ล้านบาท คิดเป็น 11.4% เติบโต 1.2% YoY (ข้อมูล : AIMC ณ  30 มิ.ย. 2566)

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.