แคมเปญ 11.11 เมื่อ SET On Sale เผชิญ 4 ปัจจัยเสี่ยงกดต่ำ

ดัชนีตลาดหุ้นไทยเช้านี้(11 พฤศจิกายน 2567) เปิดการซื้อขายที่ 1,463.75 จุด ก่อนร่วงลงมา ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 1,459.24 จุด ลดลง -5.45 จุด คิดเป็น -0.37% มูลค่าการซื้อขาย 10,067.93 ล้านบาท

     ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า การเดินหน้านโยบายของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงไป ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก และอาจเป็นความเสี่ยงน่าจับตาเริ่มจากสหรัฐฯ ในประเด็น “ปัญหาภาวะโลกร้อนเสี่ยงรุนแรงขึ้น” หลังนโยบายของ TRUMP ว่าที่ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ไม่เน้นสนับสนุนพลังงานสะอาด

    โดยล่าสุดเมื่อ 8 พ.ย. 67 ตามเวลาท้องถิ่นนิวยอร์กไทม์ส รายงานว่า ทีมถ่ายโอนอำนาจของทรัมป์เตรียมการออกคำสั่งฝ่ายบริหาร และคำประกาศถอนตัวจากข้อตกลงปารีสลดขนาดพื้นที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติเพื่อเปิดทางให้กับการขุดเจาะน้ำมันและทำเหมือง ซึ่งการประชุม COP29 สร้างความหวาดหวั่นว่าไม่น่าได้ข้อตกลงเป็นชิ้นเป็นอันและเพิ่มแรงกดดันให้ยุโรปและจีน รับบทผู้นำควบคุมโลกร้อนให้คืบหน้ายิ่งขึ้น การคำนึงถึงปัญหาภาวะโลกร้อนที่ลดลง อาจกดดันหุ้นกลุ่มอิง THAILAND ESG อาทิ GULF GPSC BGRIM BANOU BCP CKP PTT เป็นต้น

     ขณะที่ จีน ยังมี “ความกังวลเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ” แม้ล่าสุด 8 พ.ย. ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนจะประกาศมาตรการ REFINANCE หนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น (LOCAL GOVTDEBT) วงเงิน 10 ล้านล้านหยวน เพื่อให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถออกพันธบัตรพิเศษเพิ่มเติม แต่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวน้อยเกินกว่าที่ตลาดคาด ทำให้เกิดความผิดหวัง กดดันตลาดหุ้นจีนเช้านี้ร่วงลงต่อเนื่อง โดย HSI -2% นอกจากนี้ในมุมตัวเลขเศรษฐกิจ ด้านเงินเฟ้อจีนเดือน ต.ค. 67 ขยายตัวแค่ +0.3%YOY ต่ำกว่าตลาดคาด สะท้อนภาคการบริโภคจีนยังน่าเป็นห่วง และอาจกดดันต่อ DEMAND โลกได้ ประเด็นข้างต้นอาจกดดันหุ้นกลุ่มอิง CHINA PLAY เสี่ยงผันผวนแรงในช่วงนี้ อาทิ SCGP IVL PTTGC NER STA AOR ERW HANA KCE เป็นต้น

     ปัจจัยในประเทศไม่ดึงดูด FLOW

     ปัจจัยภายนอกดูไม่สดใส ขณะที่ปัจจัยในประเทศก็ไม่ได้หนุนให้ FLOW ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากนัก โดยประเด็นแรก คือ วันศุกร์ที่ผ่านมา “ฟิตซ์ เรตติ้ง” คงอันดับ CREDIT RATING ของไทยไว้ที่ BBB+ STABLE โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตจาก 2.6% ในปี 2567 และ 3.1% ในปี 2568 และคาดว่าปี 2568 นักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาอยู่ในระดับเดียวกับก่อนช่วงโควิด-19 ถือเป็นปัจจัยที่ไม่ได้ SURPRISE ตลาดฯมากนัก

     ส่วนอีก 1 ปัจจัย คือ การคัดเลือกประธานบอร์ดแบงค์ชาติในวันนี้ ซึ่งได้เลื่อนมาจากกำหนดเดิมในวันที่ 4 พ.ย.67โดยมีอยู่ 3 ท่านที่เป็นแคนดิเดต ซึ่ง 1 คนมาจากคลัง อีก 2 คนจาก ธปท. ต้องติดตามว่าวันนี้(11 พ.ย.67)จะรู้ผลลัพธ์ว่าเป็นท่านใด หรือจะมีการเลื่อนการคัดเลือกอีกรอบหรือไม่ เนื่องจากมีการนัดชุมนุม ของกลุ่มการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่หน้าตึก ธปท. เช้านี้

     ประเด็นดังกล่าวที่ไม่ได้เป็นปัจจัยหนุนมากนัก และยังมีความไม่แน่นอนของผลลัพธ์จึงทำให้ค่าเงินบาทยังทยอยอ่อนค่า และหนุนให้ต่างชาติ-สถาบันฯ สลับมาขายสุทธิหุ้นไทยทั้งคู่ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ราว 1.5 พันล้านบาท และ 1.2 พันล้านบาท ตามลำดับ โดยปกติแล้วหากต่างชาติและสถาบันฯขายสุทธิหุ้นไทยทั้งคู่ จะกดดัน SET INDEX ให้วันนั้นๆดัชนีปิดตัวลบเสมอ ฝ่ายวิจัยฯคาดว่า SET INDEX วันนี้มีโอกาสผันผวนและอาจทดสอบแนวรับของวันที่ระดับ 1,455 จุดได้

     กำไร 3Q67 ชะลอ

     นอกจากนี้ ในวันศุกร์ที่ผ่านมา งบไตรมาส 3/67 รายงานออกมา 167 บริษัท (คิดเป็นสัดส่วน MARKET CAP 49%) มีกำไรสุทธิ 9.9 หมื่นล้านบาท ลดลง -34% QOQ , ลดลง -33% YOY และยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดถึง 23% ส่วนใหญ่ยังคงต่ำกว่า BLOOMBERG CONSENSUS คาดและมีเพียง 2 บริษัทที่กำไรสูงกว่าคาด คือ RCL, SAV

     หากสังเกตได้ว่า หุ้นที่ประกาศงบไตรมาส 3/67 ออกมาแล้วต่ำกว่าตลาดคาดมักจะทรงๆตัว ไปจนถึงย่อตัวลงแรงในวันถัดมา ดังนั้นกำไรงวดไตรมาส 3/67 ที่มีแนวโน้มลดลง QOQ , YOY และยังต่ำคาดมาก น่าจะกดดันตลาดหุ้นให้ผันผวนในช่วงของการรายงานงบ 3Q67 ถึงกลางๆเดือนนี้ และน่าจะนำไปสู่การปรับประมาณกำไรตลาดปีนี้และปีหน้าลดลงอีกได้

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.