เปิดสาเหตุ TRUE ปี 66 ขาดทุนสุทธิ 14,581 ล้าน งดจ่ายปันผล

นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2566 นับว่าประสบความสำเร็จเกินคาด ด้วยจุดแข็งที่ผสมผสานกัน ส่งผลให้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น 

โดยบริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าและดำเนินการตามแผนบูรณาการและเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ทำให้สามารถบรรลุเกินเป้าหมายในการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมในปีนี้ โดยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในปีที่ผ่านมาในการนำองค์กรใหม่สู่การสร้างวัฒนธรรมและแนวทางการทำงานที่เป็นหนึ่งเดียว พร้อมทั้งผสมผสานจุดแข็งในการดำเนินงานในธุรกิจ 

ดังนั้นบริษัทพร้อมแล้วสำหรับการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรในปี 2567 อีกทั้งยังได้รับปัจจัยสนับสนุนทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การเติบโตของภาคการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเพิ่มขึ้นของการใช้งานข้อมูล และไลฟ์สไตล์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ในไตรมาส 4/2566 บริษัทประสบความสำเร็จจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมสุทธิ (Net Synergies) คิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาท จากการดำเนินการตามแผนงานสำคัญอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลดีต่อ EBITDA และงบลงทุน (CAPEX) อีกทั้งการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยได้เกินกว่าเป้าหมาย จึงส่งผลดีทั้งการประหยัดพลังงานและค่าเช่าพื้นที่ 

ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงบลงทุน (CAPEX) การรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมเป็นไปอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเสนอการให้บริการที่รวมเทคโนโลยีด้านการสื่อสารทั้งในแบบเคลื่อนที่และประจำที่ (FMC) ที่หลากหลายเข้าด้วยกัน ด้วยยอดผู้ใช้งานลูกค้าในกลุ่มนี้ที่เติบโต 16% นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ โดยมี ARPU เพิ่มขึ้น 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน 

“บริษัทจะยังคงมุ่งมั่นที่ดำเนินการตามกลยุทธ์ที่สำคัญ โดยใช้จุดแข็งในการดำเนินการทางการตลาดแบบผสมผสานของเรา ดำเนินการตามแผนการบูรณาการ และบรรลุผลสำเร็จในการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมเพื่อส่งมอบคุณค่าสูงสุดให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา” นายมนัสส์ กล่าว 

ขณะเดียวกัน ด้วยความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า พร้อมทั้งนำเสนอมูลค่าเพิ่มเพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของลูกค้า แบรนด์ดีแทคและทรูยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มแรงงานต่างด้าว โดยมียอดผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 0.5 ล้านเลขหมาย จากไตรมาสก่อน คิดเป็น 1% ทำให้มียอดรวมเป็น 51.9 ล้านเลขหมาย ณ สิ้นปี 2566 แบ่งเป็น ผู้ใช้บริการระบบเติมเงิน 36.3 ล้านเลขหมาย และผู้ใช้บริการระบบรายเดือน 15.6 ล้านเลขหมาย 

ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ โดยครอบคลุมประชากร 90% พร้อมด้วยฐานผู้ใช้บริการ 5G ที่มากสุดถึง 10.5 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อน 

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 14,580.96 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 4/2566 มีผลขาดทุนสุทธิ 11,279 ล้านบาท เนื่องจากมีบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย และค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ รวม 10,899 ล้านบาท 

โดยหากไม่รวมผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ขาดทุนสุทธิในไตรมาส 4/2566 จะอยู่ที่ 379 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 1,219 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน เนื่องจาก EBITDA ที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน  

EBITDA ในปี 2566 อยู่ที่ 85,735 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) อยู่ที่ 54% โดย 70% ของ EBITDA ในปี 2566 มาจากการรับรผู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy)

สำหรับในไตรมาส 4/2566 EBITDA อยู่ที่ 22,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% นับเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกันที่มีการเติบโต และเพิ่มขึ้น 3,000 ล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ทั้งนี้ การปรับเพิ่มของ EBITDA ในไตรมาส 4/2566 จำนวน 1,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มาจากเติบโตของรายได้ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดย 50% ของการเติบโตมาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม ขณะที่อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 55.4 % ในใตรมาส 4/2566

ส่วนรายได้รวมในปี 2566 อยู่ที่ 202,765 ล้านบาท ลดลง 5.3% จากปีก่อน สำหรับรายได้รวมในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 52,348 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% จากไตรมาสก่อน โดยได้แรงหนุนจากรายได้จากการให้บริการและจากการขายที่เพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้ รายได้จากการให้บริการไม่รวม IC (ตามการจัดประเภทรายการใหม่) ในปี 2566 อยู่ที่ 158,609 ล้านบาท ลดลง 0.04% จากปีก่อน สำหรับไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 40,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.0% จากไตรมาสก่อน มาจากรายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 2.3% และรายได้ธุรกิจออนไลน์เพิ่มขึ้น 2.5% จากไตรมาสก่อน 

โดยรายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการกลับมาอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว พร้อมกับการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับฐานลูกค้าเดิม 

ส่วนการปรับขึ้นของรายได้ธุรกิจออนไลน์ ได้รับแรงหนุนจากการเน้นการเพิ่มคุณภาพของการได้มาซึ่งผู้ใช้บริการ ด้วยการปรับข้อเสนอที่น่าสนใจและการตอบสนองที่ดีอย่างต่อเนื่องต่อการขายพ่วงของผลิตภัณฑ์และบริการที่เกิดภายหลังการควบรวมกิจการ ขณะที่ธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก (Pay TV) มีรายได้จากการให้บริการแบบบอกรับสมาชิก คงที่จากไตรมาสก่อน 

ทางด้านรายได้จากการขายในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 6,274 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.7% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการเปิดตัว iPhone ใหม่ ในไตรมาส 3/2566

“ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลการดำเนินงานที่มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง และ EBITDA เติบโตขึ้นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่สามารถรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) ในปี 2566 ได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้” นายนกุล กล่าว 

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานในปี 2566 ดังลก่าว ส่งผลให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 22 ก.พ.2567 มีมติอนุมัติการงดจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 

สำหรับการคาดการณ์ในปี 2567 บริษัทคาดว่าจะสามารถทำกำไรภายหลังการปรับปรุง (Normalized) ได้ในปี 2567 รายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) จะเติบโต 3-4%  EBITDA จะเติบโต 9-11% และค่าใช้จ่ายลงทุนรวมงบลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม (CAPEX) ประมาณการณ์ไว้ที่ 30,000 ล้านบาท 

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.