ผ่ากำไร "ครอบครัว SCC" ปี67 ฟื้น รึ ฝ่อ ? วางเกมไง

     "ครอบครัว SCC" ออกอาการน่าเป็นห่วงขึ้นมาทันที หลังจากที่ "บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP" ประกาศกําไรไตรมาส 4/66 ทำได้เพียง 1.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 171% YoY , ลดลง 8% QoQ ถือว่าตํ่ากว่าหลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ผลจากประเทศจีนมีการปิดเมืองในช่วงไตรมาส 4/65 ส่งผลให้ปริมาณขายและราคาขายลดลง ประกอบกับในไตรมาส 3/66 ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในไทยและฟิลิปปินส์ เข้าสู่ช่วง Low season รวมถึงต้นทุนปรับตัวเพิ่มขึ้น

     ล่าสุด "ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ประกาศผลประกอบการปี 2566 มีกำไรสุทธิ 25,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน ผลจากกำไรการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา มูลค่ารวม 14,822 ล้านบาท แม้ธุรกิจเคมิคอลส์มีส่วนต่างราคาขายลดลงและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาค

     ขณะที่ รายได้จากการขาย SCC ทำได้เพียง 499,646 ล้านบาท ลดลง 12% จากปีก่อน สาเหตุมาจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง ประกอบกับสถานการณ์ตลาดในภูมิภาคที่อ่อนตัว และการไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics เนื่องจากเปลี่ยนสถานะจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วมจากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics

     ส่วนผลงานไตรมาส 4/66 ทาง SCC มีรายได้จากการขาย 120,618 ล้านบาท ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 8% จากไตรมาสก่อน ผลจากปริมาณขายธุรกิจเคมิคอลส์ , ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ลดลง และ ขาดทุนสําหรับงวด 1,134 ล้านบาท โดยรวมผลประกอบการของโรงงานปิโตรเคมี LSP ส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่และรวมรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในเมียนมา (รายการทีไม่ใช่เงินสด) ทั้งนี้ กําไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ1 (Profit excludingextra items)อยู่ที่ 502 ล้านบาท ลดลง 1,291 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์และต้นทุนคงที่ของ LSP

     อย่างไรก็ดี SCC จ่ายเงินปันผลประจําปี 2566 ในอัตรา 6 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 7,200 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของกําไรไม่รวมรายการพิเศษ ซึ่ง SCC จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสําหรับงวดครึ่งปีแรก 2.5 บาท และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายอีก 3.5 บาท คิดเป็นเงิน 4,200 ล้านบาท พร้อมขึ้น XD 4 เม.ย.67 จ่ายเงินปันผล 23 เม.ย.67

     คำถาม คือ ปี 2567 "กำไรกลุ่ม SCC" ยังไหวหรือไม่ ? ปันผลจะน้อยลงหรือไม่ อย่างไร ? 

     ผู้สื่อข่าว "โพสต์ทูเดย์" รวบรวมความคิดเห็นจากบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ประเมินภาพรวมผลการดำเนินปี 2567 ส่วนใหญ่มองว่า "ฟื้นน้อย แต่ฟื้นนะ หนทางครี่งปีแรกยังไม่ราบรื่น แต่คาดหวังจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง "

     ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ปี 2567 เชื่อว่า "SCC" ยังคงต้องเผชิญความท้าทายอย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปีที่มาจากหลายปัจจัยลบที่เข้ามากดดัน ทั้ง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคทั่วโลกทำให้เกิดความไม่แน่นอนในระบบ Supply Chain และความผันผวนของราคาวัตถุดิบ

     รวมถึงความเสี่ยงจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ที่จะมีผลต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในจังหวะที่โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์แห่งใหม่ที่เวียดนาม หรือ “Long Son Petrochemical Complex” (LSP) เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นปี 67 ทำให้ SCC ต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายคงที่ (Fix Cost) ประกอบด้วย ค่าเสื่อมราคา ภาระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่าย Overhead ต่างๆ เข้ามาเดือนละ 800 ล้าน บาท โดย Spread HDPE-Naphtha และ PP-Naphtha ในช่วงหลายเดือนข้างหน้าน่าจะทรงตัวในระดับต่ำกว่า 400 USD/ton ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่ เป็นเงินสด (Conversion Cash Cost) ของโรงงานโอเลฟินส์ทั่วไปที่อยู่ที่ 400-450 USD/ton 

     อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยคาดสถานการณ์จะค่อยๆดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง บนความหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้น ภายใต้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ ลดลงและการเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินมาเป็นนโยบายผ่อนคลายทาง การเงินของหลายประเทศ ส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ทยอยกลับมาเพิ่มขึ้น อีกทั้งอุปทานใหม่ของปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์จะลดลงอย่างมากในช่วงระหว่างปี 2567-2569 เทียบกับปี 2563-2566 ส่งผลให้แนวโน้ม Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีน่าจะขยับขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567

     แม้ภาพธุรกิจในระยะยาวของ SCC ยังคงมีทิศทางที่ดี ภายใต้แผนงานด้าน ESG ที่ เป็นรูปธรรมทั้งการเร่งพัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำ สินค้านวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง แต่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/66 สร้างความผิดหวังให้กับตลาดอีก ครั้ง ประกอบกับทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ที่ยังต้องเผชิญความเสี่ยงสำคัญเกี่ยวกับการฟื้นตัวของธุรกิจปิโตรเคมีที่ยากลำบากขึ้นไปอีก หลังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายของโรงงาน LSP เพิ่มเติม

     ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจุดเปลี่ยนจะเกิดขึ้นอย่างเร็วช่วงกลางปีนี้ ในเชิงกลยุทธ์จึงปรับลดน้ำหนักการลงทุนจาก Neutral เป็น Underperform โดยประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี Discount Cash Flow (DCF) ลดลงจากเดิมที่ 340 บาท เหลือ 330 บาท เทียบเท่า PER 15.88เท่า และใกล้เคียงกับมูลค่าตามบัญชี ณ สิ้นปี 2567 ที่คาดการณ์ไว้ที่ 342 บาท

282 ด่านสำคัญ

     บล.ไอร่า(ประเทศไทย) ระบุว่า SCC ระดับราคาได้ปรับตัวลดลงตามสัญญาณขายที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อหลุดแนวรับสำคัญที่บริเวณ 282 บาท ลงมาและได้ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วจนสั้นๆมีภาวะ Oversold ใน RSI อย่างมีนัยสำคัญทำให้พร้อมจะมี Rebound สั้นๆ

 

SCGP ปีนี้ฟื้นเบาๆ

     บล.ทรีนีตี้ คงประมาณการกําไรปี67 ที่ 5.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY ยังคงแนวโน้มเชิงระมัดระวัง สําหรับการฟื้นตัวของกําไรในปีนี้ โดยธุรกิจในเวียดนามและไทยน่าจะเติบโตได้ดีจากท่องเที่ยว และ domestic consumption แต่ในประเทศอินโดนีเซียอาจจะค่อยๆฟื้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จาก Demand ประเทศจีนที่ดีขึ้น แต่จากค่าระวางเรือที่ปรับเพิ่มขึ้นจากความตึงเครียด Red Sea อาจจะส่งกระทบต่อต้นทุนในช่วงถัดไป

     ฝ่ายฯเชื่อว่าปัจจัยหนึ่งที่คอย Overhang ราคาหุ้นคือการเข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลืออีกประมาณ 44% จากผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งจะต้องใช้เงินอีกราว 2.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการของธุรกิจกระดาษในอินโดนีเซียยังไม่ดีนัก จากปัจจัยเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อที่สูง ปัจจุบันทางผู้บริหารได้มีการพูดคุยกับ Partner ทั้งในต่างประเทศและอินโดนีเซียที่จะเข้ามาเป็น partner ในส่วนของ Fajar ที่เหลือ รวมถึงผู้ถือหุ้นเดิมด้วย โดยคาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงกลางปี 67 นี้

     ดังนั้นคงคําแนะนํา Trading Buy และราคาเป้าหมาย ปี 67 ที่ 36.50 บาท อิง Avg PER 27 เท่า โดย 1 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลดลงไปกว่า 11% ด้วยแนวโน้มผลประกอบการที่ยังชะลอตัว แต่ปัจจุบัน PE Trade ที่ -2SD บ่งบอก downside เริ่มจํากัด

 

แนวโน้มไม่สดใส-ฟื้นช้า

     ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) มองเป้ารายได้ของ "SCGP" ที่ 1.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% YoY ดูท้าทายภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ลุ่มๆดอนๆ ในปัจจุบันแม้ว่าบริษัทจะตั้งงบลงทุน(CAPEX) ไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท (R&D 2 พันล้านบาท, ESG 5 พันล้านบาท และ M&A 1 หมื่นล้านบาท) แต่ดีลขนาดใหญ่อาจจะต้องใช้เวลากว่าจะทำได้ตามเป้า ขณะเดียวกัน SCGP กลับมาพิจารณาเข้าลงทุนในโรงงานผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์แห่งใหม่ในเวียดนามเหนือ ซึ่งจะใช้งบลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท โดยจะทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในปี 67 

     ส่วนดีลของ Fajar ซึ่งเป็นหนี่งในประเด็นที่นักลงทุนเป็นกังวล ยังอยู่ในขั้นตอนของการหาพันธมิตร และต่อรองราคา ซึ่งในแง่บวกฝ่ายฯยังคงมองว่าอุปสงค์บรรจุภัณฑ์ในไทยและอินโดนีเซียยังคงมีแนวโน้มสดใสจากภาคการท่องเที่ยว และบริการ ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยขาขึ้นคลายตัวลง

     ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการลงเพื่อสะท้อนถึงต้นทุนการจัดจำหน่ายที่สูงขึ้นในปี 67 ยอดขายที่อ่อนแอลง และต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทั้งนี้ SCGP กำลังดิ้นรนเผชิญกับภาวะที่ไม่เอื้ออำนวย ได้แก่ สถานการณ์ที่ตึงเครียดในประเทศจีน, การเข้าซื้อ Fajar, และต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น (กระดาษรีไซเคิล และอัตราค่าระวางขนส่ง) ขณะเดียวกัน ต้นทุน old corrugated container (OCC) ซึ่งเป็นต้นทุนหลักเพิ่มขึ้น 12% QoQ เป็น US$213/ton 

     ขณะที่อัตราค่าระวางขนส่งเพิ่มขึ้นเพราะสถานการณ์ในทะเลแดงทวีความตึงเครียดขึ้นซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องจับตาต่อไป อย่างไรก็ตาม ฝ่ายฯประเมินว่ากำไรจากธุรกิจหลักในไตรมาส 1/67 จะเพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงขึ้น, เทศกาลตรุษจีน, การเลือกตั้งประธานาธิบดีในอินโดนีเซีย(14 กุมภาพันธ์ 2567) และราคา dissolving pulp สูงขึ้น

     อย่างไรก็ดี ฝ่ายฯยังคงคำแนะนำถือ แต่ปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 34 บาท จาก 39 บาท สะท้อนถึงการปรับลดกำไรและการ derate EV/EBITDA ลงเหลือ 8.5x (จาก 9x) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มนี้ในต่างประเทศเล็กน้อย ทั้งนี้ SCGP จะจ่าย DPS ช่วงครึ่งหลังปี66 ที่ 0.30 บาท/หุ้น (XD 2 เม.ย.67) คิดเป็นผลตอบแทนที่ 1%

 

ดีมานด์ฟื้น ปี67เริ่มดูดี

     ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า SCGP งวดไตรมาส 4/66 กำไรสุทธิ 1,219 ล้านบาท ลดลง 8%QoQ ต่ำกว่าคาด ผลประกอบการถูกกดดันจากธุรกิจในฟิลิปปินส์และไทยที่ซบเซาในเดือนธันวาคม อีกทั้งมีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น ธุรกิจที่ดีขึ้นชัดเจนคือธุรกิจ Fibrous Chain แต่ก็มีส่วนช่วยภาพรวมกำไรของ SCGP ได้ไม่มากเนื่องจากมีสัดส่วนรายได้เพียง 20% ปัจจัยแวดล้อมปีนี้ดูดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะด้าน Demand ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอาเซียน ขณะที่แรงกดดันด้านต้นทุนในปัจจุบันยังมีไม่มาก

     อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เป็นประเด็นหลักที่ต้องติดตามใกล้ชิด เพราะจะสร้างความผันผวนต่อต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบ ให้น้ำหนักการลงทุน Neutral ประเมินราคาเหมาะสมที่ 45 บาท เทียบเท่า Implied PER 30 เท่า ส่วนสัญญาณทางเทคนิคแนวโน้มราคาหุ้น SCGP แกว่ง Sideway มองแนวรับ 30 บาท แนวต้าน 34.50 / 39.75 บาท 

 

SCGD ฟื้นจากฐานต่ำ - SJWD รถไฟฟ้าหนุน

     บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาด "บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD" กำไรปกติในไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 150 ล้านบาท ลดลง 34% q-q ใกล้เคียงคาด โดยยอดขายลดลงกดดันจากต่างประเทศที่อ่อนแอ โดยเฉพาะเวียดนาม ส่วนในประเทศทรงตัว ขณะที่ GPM ทรงตัวจบปี 66 กำไรสุทธิอยู่ที่ 328 ล้านบาท  (เทียบกับปี 65 ขาดทุน 421 ล้านบาท) หากไม่รวม extra items กำไรปกติ 775 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% y-y

     ส่วนแนวโน้มปี 2567 ภาพการฟื้นตัวจากฐานต่ำ และ GPM ดีขึ้นจากต้นทุนก๊าซที่ลดลง อย่างไรก็ดี ฝ่ายอยู่ระหว่างปรับลดประมาณการด้วยมุมมองอนุรักษ์นิยมขึ้น เบื้องต้นอาจปรับลดกำไรปกติปี 67 ลง 20% เป็น 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% y-y และราคาเป้าหมายปรับลงเป็น 12 บาท จากปัจจุบัน 15 บาท

     ขณะที่ หุ้นของ "บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD" แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 21.50 บาท มองแนวโน้มไตรมาส 4/66 น่าจะสูงสุดของปี 66 เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการรวม SCGL ที่เกิดขึ้นในงวด 9 เดือนปีนี้เกือบ 200 ล้านบาท แต่หากมี goodwill ก็จะเป็นรายการ non-cash ไม่น่ากังวล ธุรกิจหลักดีขึ้นต่อเนื่อง บางธุรกิจอยู่ใน low season บ้าง แต่จะชดเชยได้จาก Automotive ที่โตตามยอดขายรถ EV ของ BYD

 

     ราคาหุ้น SCC ปิดการซื้อขายวันนี้(24 ม.ค.2567) อยู่ที่ 270 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท คิดเป็น +1.12% มูลค่าการซื้อขาย 821.05 ล้านบาท ระหว่างวันราคาขึ้นไปสูงสุด 271 บาท และลดลงต่ำสุด 265 บาท

     ราคาหุ้น SCGP อยู่ที่ 31.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท คิดเป็น +2.42% มูลค่าการซื้อขาย 723.48 ล้านบาท ระหว่างวันราคาขึ้นไปสูงสุด 32.50 บาท และลดลงต่ำสุด 30.25 บาท

     ราคาหุ้น SCGD อยู่ที่ 9.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.45 บาท คิดเป็น +4.97% มูลค่าการซื้อขาย 45.55 ล้านบาท ระหว่างวันราคาขึ้นไปสูงสุด 9.60 บาท และลดลงต่ำสุด 8.95 บาท

     ราคาหุ้น SJWD อยู่ที่ 13.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท คิดเป็น +1.49% มูลค่าการซื้อขาย 66.86 ล้านบาท ระหว่างวันราคาขึ้นไปสูงสุด 13.70 บาท และลดลงต่ำสุด 13 บาท

Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.