บทเรียนชีวิต "หรั่ง พระนคร" นำมาใช้เลี้ยงลูก
"หรั่ง พระนคร" มีความสุขสุดๆ ผู้นำครอบครัว ดูแลภรรยาและลูกชายวัยกำลังน่ารัก นำบทเรียนชีวิตทั้งขาวทั้งดำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์
"อัครินทร์ ปูรี" หรือ "หรั่ง พระนคร" อดีตนักโทษขาใหญ่ในเรือนจำ กลับตัวกลับใจกลายเป็นคนใหม่ได้ เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักโทษ หมั่นเข้าเรือนจำไปพูดให้กำลังใจผู้ต้องขัง ช่วยหางานให้ผู้พ้นโทษ และประสานงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตหลังพันธนาการ เปิดช็อปผลิตกีต้าร์ย่านดอนเมือง ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว Sanook.com ในฐานะผู้นำครอบครัว ดูแลภรรยา และลูกๆ วัยกำลังน่ารักน่าชัง
หรั่ง ย้อนกลับไปสมัยอยู่ในโลกหลังกำแพง "ไม่เคยคิดว่า ชีวิตจะมาถึงจุดที่มีภรรยา มีลูก มีครอบครัวสมบูรณ์" เพราะวิถีชีวิตที่เดินทางในเรือนจำ มีเปอร์เซ็นต์ที่จะจบชีวิตสูง แต่พอมาอยู่โลกภายนอก เลิกทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มเข้าใจความรัก
อีกทั้งยังเชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิล เรียกว่า "ศาสนาคริสต์เปลี่ยนชีวิตก็ว่าได้" เพราะเป็นศาสนาที่ให้ความรักเป็นใหญ่
เวลาผมทำผิดเขาให้อภัยผมได้ แต่สมัยก่อนผมเวลาทำผิดถูกตัดสิน โอ๊ยมึงเป็นอย่างนี้อีกแล้ว มึงครั้งที่เท่าไหร่แล้ว มึงกี่ครั้งแล้วล่ะ แต่พอมาอยู่ในคริสเตียน พอเราทำผิดไม่เป็นไรเริ่มต้นใหม่ พอเราได้รับโอกาสซ้ำแบบนี้ มันทำให้เราเกิดความสำนึก โอกาสพวกนี้หรือการให้อภัยมันมาจากพื้นฐานของความรัก
หรั่ง เล่าต่อว่า สมัยเป็นพ่อบ้านในเรือนจำ อาจดูโหดร้ายในสายตาเพื่อนผู้ต้องขังด้วยกัน แต่หลังจากมีภรรยา และลูก เขายิ่งรู้สึกว่า ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่คนเราควรจะมี ไม่ใช่ความโหดร้าย
ผมมีลูก 2 คน คนแรกก็ 6 ขวบ คนที่สอง 1 ขวบ 6 เดือน ผู้ชายทั้งคู่ ชีวิตประจำวันของผมตอนนี้ อันดับแรก ดูแลลูกก่อน ผมเป็นคนป้อนข้าว ไปส่งลูกที่โรงเรียน หลังจากนั้นผมก็มาทำงานของผม ทำยูทูปเบอร์ และก็ทำกีต้าร์คัสตอม
หรั่ง บอกต่อว่า การเป็นผู้นำครอบครัว เป็นพ่อบ้านในบ้าน ไม่ใช่ในคุก รู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง "เป็นขาใหญ่ในคุก เป็นผู้นำคนเกเร มันไม่ถูกต้อง ไร้สาระ" แต่วันนี้ไม่ต้องมีใครตามผม มีภรรยามีลูก 2 คน 3 คน ที่ผมจะต้องดูแล อันนี้คือสิ่งที่ถูกต้อง ผมไม่ใช่คนกลัวเมียนะ เดี๋ยวคนจะเข้าใจผิด แต่ภรรยาผมเนี่ยเขาจะคอยแนะนำ เขาจะสอน เราฟังเขา คนเป็นผู้นำต้องฟังเขา เขานำสิ่งดีๆ ให้กับเรา
ผมจะดูแลทุกอย่าง แล้วผมรู้สึกว่า "สุภาพบุรุษตัวจริง จะต้องดูแลครอบครัวได้ ดูแลภรรยาดูแลลูกได้ สามารถทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ให้เรานอนอิ่มได้" เห็นผมช่วยเหลือคนข้างนอกมากมาย ถ้าบ้านผมไม่อิ่ม ผมเลี้ยงพวกเขาไม่ได้
ไม่ใช่เที่ยวแต่ไปดีกับคนนอก เขาชื่นชมเรา แล้วครอบครัวเรากินอิ่มหรือยัง มีความสุขหรือยัง สำหรับผมภรรยาต้องยิ้มแย้มแจ่มใส ลูกต้องแฮปปี้ ทุกคนในครอบครัวผมเนี่ยต้องได้ก่อน จนอิ่มพร้อมเรียบร้อย แล้วผมถึงจะไปช่วยคนอื่นได้ มันต้องเป็นแบบนี้
หรั่ง บอกต่อว่า ในฐานะคนเป็นพ่อ เขาได้นำบทเรียนชีวิตในอดีตทั้งบวก และลบ มาประยุกต์ใช้สอนแก้วตาดวงใจ ซึ่งสิ่งที่ทำให้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ หนีไม่พ้นยาเสพติด ทั้งหมดทั้งมวล ครอบครัวมีส่วนสำคัญที่ทำให้กลายเป็นคนเกเร เราไม่ได้โทษพ่อ แต่เราอยากสะท้อนสังคมให้คนเห็น
ตัวผมเองเนี่ย เติบโตมาก็เป็นเด็กปกติ ไม่ใช่เป็นเด็กก้าวร้าว ต่อยตีคน แต่ด้วยสภาวะครอบครัวที่มันแตก คุณแม่เสีย แล้วคุณพ่อเสียใจไม่รู้จะทำยังไงก็หันไปพึ่งสุรา ดื่มสุรามากเข้า คุณพ่อผมเหมือนปีศาจร้าย ก็จะตบตีผมโดยไม่มีเหตุและผล และ "เวลาคนที่เมาเหล้า เวลาเขาตบตีเราเนี่ย" มันเกินกว่าเหตุ 6 ขวบ 7 ขวบ 8 ขวบ พ่อมีแต่ไปข้างนอก กินเหล้าไม่ใส่ใจ ทำร้ายผม ต้องรับสภาพอย่างนี้โดยตลอด
จนวันหนึ่งเราเข้าไปในโรงเรียน ถูกล้อถูกรังแก เราก็จำได้ว่าคุณพ่อใช้กำลังกับเรา เรากลัวนิ่ มันก็เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ "เริ่มใช้กำลังกับเพื่อน ที่มันแย่กว่านั้นคือมันไม่ได้ผลมันก็คิดแค่ว่านี่คือวิธีการป้องกันตัวเอง" หลังจากนั้นมาก็กลายเป็นเด็กเกเร
มันมีเหตุการณ์หนึ่ง คือการยกพวกไปตีกับโรงเรียนอื่น ถูกตำรวจจับได้ เพื่อนผมพ่อแม่มารับหมด ส่วนผมคุณพ่อไม่รับ รู้สึกน้อยใจ หนีออกจากบ้าน สภาวะอารมณ์ที่มัน เอ๊ะทำไมพ่อเราไม่เหมือนคนอื่นวะ พอเพื่อนให้เสพยาก็เสพเลย ก็เลยกลายเป็นเด็กติดยา
วันนี้ผมตกผลึกชีวิต ผมขอบคุณพ่อที่เกเรกับผมมาก ผมขอบคุณพ่อที่ทำร้ายผม มันทำให้ผมมีประสบการณ์เลวร้ายทั้งหมด และวันนี้ผมเอามาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไข และนำมาใช้กับลูก
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ หรั่ง บอกด้วยว่า เขาไม่ปิดบังลูกว่า เป็นอดีตผูู้ต้องขัง และตั้งใจมอบความรักความอบอุ่นให้ลูก เพื่อให้ลูกเกิดความไว้ใจ เมื่อลูกเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลานไปทิศทางไหน ลูกจะเห็นพ่อแม่เป็นคนสำคัญกลับมาสู่อ้อมกอด
มีคนเคยถามผมว่าหรั่ง ลูกรู้ไหมเนี่ยว่าเคยติดคุกติดตาราง ผมบอกลูกผมรู้ ผมไม่เคยปิดบังลูก "แต่ผมไม่เคยใช้พฤติกรรม คนคุกคนเกเรดูแลลูก" เฮ้ยกินเหล้าไปลูกไปนั่งด้วยกัน เราทำในวิธีที่ถูกต้อง ผมไม่ได้ปล่อยปะละเลย อ้าวลูกจะไปไหนก็ไป ไม่ต้องสนใจมัน พ่อไปแดกเหล้า ไม่มี ผมใช้ชีวิตใหม่ๆ ที่ผมดูแลเขา ด้วยความเอาใจใส่ พาไปเล่น ให้ความรักกับเขาที่สุด แต่ผมไม่ได้สปอยลูก ไม่ได้โอ๋ผิดคือผิด ผมมีพูดด้วยเหตุผล ผมมีตี แต่ตีเนี่ยมันจะเป็นไม้สุดท้าย เสร็จแล้วเราก็ให้เหตุผลว่าโดนเพราะอะไร
บางอย่างวิธีการลงโทษคือนั่งเฉยๆ บางอย่างวิธีการลงโทษคือไม่ซื้อขนมให้ บางอย่างวิธีการลงโทษคือวันนี้อดกินของหวาน หรืองดไปเที่ยว งดไปเล่น ค่อยๆ สอนเขา ผมให้เขาสัมผัสถึงว่า ผมเนี่ยเป็นคุณพ่อที่ใส่ใจเขา นั่งมอเตอร์ไซค์ขับไปด้วยกัน เขาก็กอดผมคุยกันตลอดทาง ปาปี๊อย่างนั้นอย่างนี้
นี่คือสายสัมพันธ์ ที่เราควรจะทุ่มเทเวลาให้กับเขา ในมุมผมนะ ผมคิดว่าธรรมชาติของคนทั้งหมดเนี่ย ทุกคนที่เป็นวัยรุ่นเนี่ยมันจะมีช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หลายๆ คนก็ล้มลุกคลุกคลาน แล้วก็เละเลยก็มี อย่างเช่นผม หลายๆ คนก็ล้มลุกคลุกคลานแต่กลับมาได้
ผมคิดว่าวัยเด็กเนี่ย ตั้งแต่คลอดจนประมาณ 10 ขวบ เราให้ความรัก เอาใจใส่ ให้เขารับรู้ว่า เราเป็นได้ทั้งคุณพ่อ เป็นได้ทั้งเพื่อน เปิดเผยกับเราได้ทุกอย่าง วันหนึ่งเขาออกไปล้มลุกคลุกคลาน เขาจะกลับมา ผมคิดว่าบ้านคือสิ่งสำคัญ บ้านตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าตัวเรือนบ้าน พ่อกับแม่ พร้อมที่จะให้คำแนะนำเขา ชี้แนวทางเขา ถ้าเขามีความเชื่อใจเรา เขาจะฟังเรา
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ เจ้าของช่อง หรั่งพระนคร Official (น.ช.ไม่ทิ้งกัน) ให้สัมภาษณ์ส่งท้ายว่า ไม่มีใครอยากให้ลูกโตมาเป็นโจรอยู่แล้ว สมัยเรียนไม่เคยคิดเลยว่า จบ ม.3 จะไปอยู่ในคุก ก็อยากเป็นทหาร เป็นตำรวจ ลูกผมเติบโตมา ผมก็แค่จะบอกเขาว่า ถ้าเดินเส้นทางมืดเอ็งจะเป็นแบบนี้เลย
ทุกวันนี้ลูกผมเป็นเด็กคนเดียวในประเทศไทย ที่เข้าเรือนจำประมาณ 15-16 เรือนจำ ตั้งแต่ 4 ขวบ ขอบคุณอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่เขาอนุญาตให้ผมพาเด็กเข้าไปได้
เวลาผมพาลูกผมเข้าไปเนี่ย ผมก็จะบอกเขาว่าเนี่ย ทุกคนคือคนผิด เหมือนที่พ่อเป็น "ถ้าเราทำผิดกฏหมายบ้านเมือง เราต้องมาอยู่ตรงนี้ เราต้องมาอดข้าว มากินอยู่ในระบบแบบนี้" แต่เขาคือคน เขามีคุณค่า ถ้าลูกทำผิดลูกจะเป็นแบบนี้
ปัจจุบันผมมีโล่ มีอะไรเต็มไปหมดเลย ไปพูดเป็นวิทยากร ผมให้ลูกผมดูว่า "แต่ถ้าลูกเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง การยอมรับของลูกจะเป็นแบบนี้" ผมอาจจะโชคดีกว่าคนอื่น คือ มีทั้งขาวและดำ ที่จะสามารถสอนเขาได้
สิ่งหนึ่งที่ผมคาดหวังที่สุดในชีวิตเลย "ผมไม่อยากให้ลูกผมเห็นแก่ตัว เอาเปรียบคน ผมสอนลูกผมให้ช่วยเหลือคนตั้งแต่เด็ก เพราะว่าผมเป็นคนที่เอาเปรียบคน เป็นคนที่เห็นแก่ตัว กดขี่คนมาเยอะ"
เวลาเติบโตขึ้นมาขอให้รู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน อย่าไปเห็นแก่ตัว อย่าไปเห็นแก่เงิน เป็นอันใช้ได้
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.