เปิดชีวิต 25 ปีที่แล้ว “ต่าย อรทัย” ผลักดันเป็นราชินีดอกหญ้า
"ต่าย อรทัย" ย้อนวัยเบญจเพส ห้วงเวลาที่มีความสำคัญอย่ายิ่งยวด จาก "ดอกหญ้าในป่าปูน" สู่ "ราชินีดอกหญ้า" อีกหนึ่งสตอรี่ที่คิดถึงทีไรภูมิใจเสมอ ส่วนอีก 25 ปีข้างหน้า ยังไม่มีภาพชัดเจน เน้นให้ความสำคัญกับระหว่างทางก่อนอนาคต
"เคยย้อนความทรงจำกลับไปไกลที่สุุดได้แค่ไหน"
"อรทัย ดาบคำ" หรือ "ต่าย อรทัย" นักร้องลูกทุ่งหญิงขวัญใจมหาชน มีผลงานได้รับความนิยมมามากกว่า 2 ทศวรรษ นิ่งนึก ก่อนบอกกับ ทีมข่าว Sanook.com "น่าจะเป็นวัยอนุบาล"
นึกภาพตอนเดินเท้าเปล่าไปโรงเรียน ลมร้อนๆ แห้งๆ ละอองฝุ่นดินลูกรังปะทะใบหน้า เสื้อขาวกลายเป็นสีแดงอมส้ม ปลูกข้าวปลูกผัก ตามวิถีชีวิตคนชนบท บนผืนนาตะเข็บชายแดน ในอำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี
"จริงๆ ก็นึกย้อนไปได้ไกลกว่านั้น"
"แต่ที่มีความสำคัญอย่ายิ่งยวด ทำให้ดอกหญ้าในป่าปูน ได้รับกายกย่องว่า ราชินีดอกหญ้าในวัยเบญเพส เริ่มต้นนับหนึ่งเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา"
เธอเล่าระหว่างพักเบรคถ่ายรายการ ที่ ตึกจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ กลางใจเมืองหลวง บ่ายวันหนึ่ง ถ้าย้อนไปจากปีนี้นะคะ ตอนนั้นน่าจะ อายุ 18-19 ปี เป็นเด็กมัธยมปลาย คนหนึ่งที่เรียนจบแล้วอยากเดินไปในวันข้างหน้า
การเดินทางทุกก้าวย่าง และการต่อสู้ชีวิตแบบฉบับ "หนุ่มสาวโรงงาน" เป็นแรงผลักดัน ให้เดินตามความฝัน แม้ในห้วงเวลานั้น ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ต้องทรหดอดทนแค่ไหนจึงจะสมหวัง
"เราก็เป็นคนหนึ่งที่เรียนหนังสือไม่เก่งเนาะ สิ่งหนึ่งที่คิดว่ามั่นใจสุดนะคะ คือเรื่องของการร้องเพลง ถ้าเราได้มีอาชีพ นี้ ก็น่าจะดูแลตัวเองได้ ดูแลครอบครัวได้"
"ถ้ามีโอกาสเราจะทำให้มันดี ให้มันเต็มที่ ที่สุด ถ้ามันไม่ได้ ระหว่างทาง จะสู้เพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพได้ด้วยอะไรก็ทำ พอลงมาแล้วก็มาเป็นสาวโรงงาน ต่ายก็ทำเต็มที่ค่ะ"
"ไม่เคยลืมเลยโมเม้นต์นั้น เข้าใจหัวอกคนเป็นหนุ่มสาวโรงงาน มันไม่ง่ายเลย ภาระหน้าที่ ที่รออยู่ข้างหลัง คนข้างหลังที่รอเรา มันไม่สามารถที่จะทำได้อย่างที่เราคิด ค่าห้องเช่า ค่าอยู่ค่ากินต่างๆ มันไม่พอที่จะส่ง แต่สิ่งหนึ่งที่มันอยู่ในใจเรา เรายังรอว่าวันไหนมันจะดีขึ้น"
"ต้องขอบคุณสถานการณ์ และก็วิถีชีวิตของหนุ่มสาวโรงงาน ที่เป็นแรงผลัก หาประสบการณ์จากการร้องเพลง เส้นทางนี้สำคัญมากๆ ทำให้เราสู้มาจนถึงทุกวันนี้"
เจ้าของเสียงร้องเพลงดังอมตะมากมาย อาทิ "โทรหาแหน่เด้อ", "กินข้าวหรือยัง", "ดอกหญ้าในป่าปูน" ฯลฯ เล่าต่อว่า สำหรับห้วงเวลาที่คิดถึงทีไรรู้สึกภูมิใจเสมอ คือ ช่วงที่เธอมีอายุ 25 ปี หรือ "วัยเบญจเพส" สิ่งที่เข้ามาในชีวิตประเมินค่าไม่ได้ "ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่ 1"
"อายุ 25 เข้าวงการมาประมาณ 4-5 ปี แล้วค่ะ และก็ออกอัลบั้มมาก็ 3-4 อัลบั้มได้แล้วค่ะ นั่นคือรางวัลมากกว่า รางวัลที่ 1 จากความทุ่มเทเดินตามความฝัน"
"ชื่อต่าย อรทัย ก็ติด เพลงก็เป็นที่รู้จัก มีแรงกำลังมากพอที่จะส่งน้องๆ เรียน คิดว่าดูแลพ่อแม่ได้ในระยะยาว ตลอดชีวิตของท่านเลย เราก็รู้สึกเราภูมิใจมากในอายุ 25 ปี"
"คำอะไรต่างๆ ที่หลายคนให้กำลังใจ คำว่า ราชินีดอกหญ้า ก็ตาม แม้แต่ร้องเพลงเพราะจังเลย พอเราได้ยินมันก็ทำให้เราได้มองย้อนกลับไป การที่จะเป็นศิลปิน เป็นนักร้องได้ไม่ง่าย"
"ยุคก่อนก็ยากไปอีกรูปแบบหนึ่ง พอมาถึง พ.ศ.นี้ อาจจะสร้างผลงานได้ง่าย แต่การที่จะเป็นศิลปินที่ถูกจดจำ และก็อยู่ได้นานหลาย พ.ศ. หลายปี ไม่ใช่เรื่องง่าย"
"แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่มันเป็นเนื้อในตรงนั้นคือ พอคุณมีความฝันแล้ว วันนี้คุณมีช่องทางหลายๆ ช่องทางแล้ว คุณมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และจริงจังกับมันแค่ไหน"
ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ต่าย ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีน มีแจ๊คเก็ตผูกเอง ใส่รองเท้าผ้าใบ ดูเบาสบาย ซึ่งเป็นรูปแบบการแต่งกาย เดินสายโชว์ลูกคอโปรโมทเพลง "ลืมอ่านไลน์กลุ่ม" ผลงานใหม่ล่าสุด ที่เธอเต้นมากเป็นพิเศษ แบบไม่เคยเห็นมาก่อน ได้พูดถึงเรื่องอนาคตด้วย
เธอบอกว่า ต่าย อรทัย อีก 25 ปี เป็นอย่างไรนั้น ในวันนี้ไม่สามารถรู้ได้ ยังไม่มีรูปแบบการดำเนินชีวิตเป็นภาพที่ชัดเจน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน คือ "ความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ"
"ต่ายอีก 25 ปีเหรอคะ ตอนนั้นน่าจะ 60 กว่า โอ้โหไม่อยากคิดเลย ความแก่ชรามันจะตามมาแน่นอน คงไม่ได้วิ่งร้องเพลงเหมือนทุกวันนี้แล้ว แต่ก็คงจะเป็น 60 ที่ยังคงทำงานอยู่ จะให้ความรู้กับคนที่มีความสนใจ ในสิ่งที่เราเป็นที่เรามี อย่างเช่นการร้องเพลง ธุรกิจอื่นๆ เอาความรักความชอบของเรา ไปทำให้มันจับต้องได้"
ต่าย บอกที่มาของ คำว่า "ภาพในอนาคตยังไม่ชัดเจน" เพราะต้องการให้ความสำคัญกับ "สร้าง และเก็บเกี่ยวความสุขระหว่างทางก่อนอนาคต" ซึ่งเป็นเรื่องของวันข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง และยังไม่สามารถจับต้องได้ หรือสัมผัสได้ในปัจจุบัน
"เรามีภาพว่าเราอยากทำอะไรให้ใคร อย่างพ่อแม่เราไม่รู้ว่า ท่านจะอยู่ได้กับเราได้อีกนานแค่ไหน ล่าสุดเลยก็ได้ ทำบ้านให้น้องชายคนโตนะคะ แล้วก็น้องสะใภ้ แล้วก็มีหลานน้อยคนหนึ่ง ทำร้านเสริมสวยให้ด้วยอย่างนี้ค่ะ ให้เขาได้มีพื้นที่ในการที่จะทำมาหาเลี้ยงชีพของเขา"
"น้องชายกับน้องสะใภ้ ทำขันธ์ 5 มา พี่สาวมานั่งลงตรงนี้หน่อย เขาก็บอกกับเราว่า ขออนุญาตกราบ 3 ครั้งนะอะไรอย่างเนี้ย โอ้ยเราก็แบบ เอ่อพูดไม่ได้เหมือนตอนนี้ พูดไม่ได้ คือ มัน อืม"
ต่าย น้ำตาคลอ บอกต่อว่า "มันมีแต่ความปลื้มปริ่มใจ เพราะว่าเราตั้งใจให้ เราทำในศักยภาพที่เรามี ซึ่งมันก็ไม่ได้เกินแรงตัวเอง"
"ได้บอกกับตัวเอง ณ วันนี้ว่า อย่ารอ อะไรที่เรารู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนเลยนะคะ แม้แต่การที่เราจะบอกรักพ่อแม่ บอกขอโทษ หรือบอกขอบคุณกันอย่างนี้ค่ะ มันเป็นสิ่งที่ไม่ต้องมานั่งลงทุนอะไร อะไรที่เราหยิบยื่นได้ เราช่วยเหลือกันได้ เกื้อหนุนกันได้ก็ทำ"
ต่าย บอกทิ้งท้ายการพูดคุยครั้งนี้ เธอเชื่อว่า คนที่เราผูกพันมากๆ เมื่อได้จากเราไปแล้ว ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ให้เราได้สัมผัสได้กอดเหมือนเดิมแล้ว ด้วยผูกพันลึกๆ ในใจเรา เมื่อระลึกถึงกัน เวลาเราพูดหรือบอกอะไรเชื่อว่า เขาสามารถรับรู้ได้ แต่ก็ไม่สู้ตอนที่บอกเขาแบบต่อหน้าไม่ได้ ไม่เหมือนกันเลย
จึงคิดว่า เป็นกำลังใจให้กันและกัน ตอนมีชีวิตอยู่ดีกว่า
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.