คลัง รับลูกแบงก์ขอลดเงินนำส่ง FIDF แลกพักดอกเบี้ย 3 ปี แก้หนี้ครัวเรือน
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการแก้ไขหนี้ครัวเรือน หลังได้มีการหารือกับสมาคมธนาคารไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะต้องมีการหารือเพื่อหาข้อสรุปสุดท้ายอีกครั้ง โดยยอมรับว่าสถาบันการเงินอาจจะมีข้อเสนอให้มีการลดเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จากปัจจุบันที่ 0.46% ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องมาคุยกันอีกที ซึ่งในส่วนของกระทรวงการคลังมองว่า ตราบใดที่สามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ ก็พร้อมที่จะพิจารณา
ผมรอเขามาสรุป ค่อยมาขันน็อต ขันสกรูกันอีกที โดยเรื่องที่แบงก์มีข้อเสนอให้ลดเงินนำส่ง FIDF นั้น ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในทางเลือกด้วย ซึ่งจะต้องมาตกลงกันบนโต๊ะ เอามาคุยกัน ผมจัดการได้ ถ้าเราเห็นด้วย เมื่อสรุปแล้วก็เอาเรื่องนี้ไปเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผมมองว่าตราบใดที่สามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ เราก็โอเคอยู่แล้ว ส่วนจะมีการหารืออีกเมื่อไหร่ คงต้องรอข้อสรุปจากทุกส่วนก่อน ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องนั่งโต๊ะประชุมด้วย ผมถามได้จากทุกฝ่าย และเรื่องนี้ต้องเร่งทำให้จบโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกับระหว่างกระทรวงการคลัง และแบงก์พาณิชย์ในวันศุกร์ที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย กระทรวงการคลังได้เสนอแนวทางแก้หนี้เสียสำหรับรายย่อย แบ่งเป็น 1. การปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ลูกหนนี้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ และ 2. การเข้าถึงสินเชื่อในระบบเพิ่มเติม โดยการให้ความช่วยเหลือจะเน้นไปที่กลุ่มลูกหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (SM) ซึ่งมีหนี้ค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน และกลุ่มหนี้เสียไม่เกิน 1 ปีด้วย ซึ่งกลุ่มนี้มีประมาณ 1 ล้านกว่าราย
ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกหนี้กลุ่มนี้ยังสามารถอยู่ได้ แบงก์พาณิชย์ได้เสนอให้พักดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี และจะให้มีการผ่อนเฉพาะเงินต้น โดยให้จ่ายเพียงครึ่งเดียวด้วย รวมถึงจะมีการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระให้ยาวขึ้น แต่ลูกหนี้กลุ่มนี้ยังต้องเข้าไปอยู่ในเครดิตบูโร ส่วนจะสามารถเข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้หรือใหม่ ต้องให้เป็นหน้าที่ของสถาบันการเงินในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้หรือไม่ โดยคงต้องไปดูความสามารถในการจ่ายหนี้ และรายละเอียดอื่น ๆ ประกอบด้วย
นอกจากนี้นายพิชัย ยังกล่าวถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯว่า ไม่ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ หรือนางกมลา แฮร์ริส ผู้ จะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ก็เชื่อว่า จะเกิดปัญหาต่อเศรษฐกิจการค้าทั้งนั้น เพราะนโยบายของทั้ง 2 ต่างยึดเอาประโยชน์ของประเทศตัวเองเป็นสำคัญ
ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งก็มีปัญหาทั้งนั้น เพราะที่ผ่านมาสหรัฐมีบทบาทแบบ One Man Show แต่ปัจจุบันมีขั้วอื่นๆ มา ดังนั้นหลังจากนี้สหรัฐจะต้องมีการปรับแนวนโยบายในการบริหารประเทศ ทำให้มองว่าไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ก็มีปัญหาทั้งหมด แต่ความหนัก และความแรงอาจจะไม่เท่ากัน
ทั้งนี้ ท่ามกลางความรุนแรงของปัญหาสงครามการค้า (เทรดวอร์) ที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น ภายหลังผลการเลือกตั้งนั้น ประเทศไทยจะต้องพิจารณาภาพรวมและปรับตัวให้ดี ซึ่งหากปรับตัวได้ดีก็อาจจะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าทำได้ค่อนข้างดี สะท้อนจากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้ประเทศไทยจะต้องพิจารณาใน 2 เรื่องสำคัญ คือ 1. ต้องพัฒนาและสนับสนุนให้เป็นนการผลิตโดยคนท้องถิ่น (Local Content) ซึ่งตรงนี้เป็นแนวทางที่ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับปรุงตัวเอง และ 2. โครงสร้างความเป็นเจ้าของการผลิตจะต้องเป็นของคนไทยด้วย ไม่ใช่แค่การนำเข้ามาประกอบในประเทศไทยเท่านั้น
ส่วนกรณีที่มีการประเมินว่าสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนจากการค้าอาจจะรุนแรงมากขึ้นนั้น มองว่า ปัจจุบันเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเริ่มทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตอนนี้ที่การส่งออกมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป หลายประเทศที่เคยใช้เรื่องอัตราเงินเฟ้อเป็นแกนหลักก็หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เพียงแต่จะดำเนินการแบบเปิดเผยหรือไม่ แต่หลักการคือจะต้องไม่เข้าไปแทรกแซงจนเกิดความผิดปกติ
ดังนั้นจึงไม่อยากให้มองเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนแค่ระยะสั้น ๆ แต่อยากให้มองย้อนหลังแล้วก็มองไปข้างหน้าว่าเราจะไม่เสียเปรียบใช่หรือไม่ ถ้ามองสั้น ๆ บางช่วงเราอาจจะแข็งค่ากว่าคู่แข่ง และบางช่วงก็อาจจะอ่อนค่ากว่า การสู้แบบนี้ไม่ได้ เพราะจริง ๆ เรื่องเงินบาทจะแข็งหรืออ่อนค่า มี 2 ประเด็นสำคัญ คือ ถ้าอ่อนค่าก็ต้องไม่น้อยกว่าคู่แข่งเพราะเป็นประเทศส่งออกเหมือนกัน และ 2. ไม่ใช่แค่ค่าเงินบาทที่มีผลต่อดอลล่าร์ แต่เป็นเหมือนกันทุกประเทศ ดังนั้นเวลาค่าเงินต่างกันก็มีโอกาสที่จะเห็นเงินลงทุนไหลกลับประเทศเขา หรืออาจจะมาที่ประเทศเรา แต่วันนี้ไทยมีทั้งสภาพคล่อง มีทุนสำรองเพียงพอที่จะดูแลเรื่องเหล่านี้ได้ ดังนั้นคิดว่าปัญหาพวกนี้คงไม่เยอะ แต่ส่วนที่อยากเห็น คือ ความสามารถในการส่งออกมากกว่า”
Tuyên bố từ chối trách nhiệm: Bản quyền của bài viết này thuộc về tác giả gốc. Việc đăng lại bài viết này chỉ nhằm mục đích truyền tải thông tin và không cấu thành bất kỳ lời khuyên đầu tư nào. Nếu có bất kỳ hành vi vi phạm nào, vui lòng liên hệ với chúng tôi ngay lập tức. Chúng tôi sẽ sửa đổi hoặc xóa bài viết. Cảm ơn bạn.